วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สร้อยคอแบบไหน ได้ใจคนใส่


จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

ก่อนจะเลือกซื้อสร้อยคอสักเส้น เราควรสำรวจลำคอของตัวเองเสียก่อนว่า มีรูปทรงเช่นไร อวบอั๋น สั้นยาวอย่างไรเพื่อที่จะได้พิจารณาว่าสร้อยคอที่เหมาะกับบุคลิกภาพของตนควรเป็นแบบใด รูปทรงของลำคอแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน แต่เราสามารถสรุปได้เป็น 3 ลักษณะ ดังนี้

1. ลำคอสั้น

ไม่ต้องตกใจ การที่มีลำคอสั้นเกินไป การสวมสร้อยคอจะช่วยพลางจุดบกพร่องส่วนนี้ได้เป็นอย่างดี การเลือกสร้อยคอที่เหมาะสมกับลำคอแบบนี้ ให้เลือกสร้อยคอเส้นเล็กๆ ที่มีความยาวเลยปุ่มคอ (ตรงกลางไหปลาร้า)มาสัก 2 นิ้ว ซึ่งถ้าเป็นสร้อยคอพร้อมห้อยจี้เพชรหรือพลอยขนาดเล็กก็จะช่วยให้ลำคอของท่านดูยาวขึ้นควรหลีกเลี่ยงการใส่สร้อยคอที่สั้น และเส้นโตเกินไปติดลำคอ ประเภท Choker เพราะจะยิ่งเน้นให้เห็นว่าลำคอนั้นสั้น และดูไม่สวยงาม แต่ถ้ามีความจำเป็น หรืออยากจะใส่สร้อยใหญ่ๆ อลังการ มีลวดลายประดับเพชรพลอยมากๆ สำหรับการออกงานกลางคืนนั้น ขอให้เลือกแบบที่ส่วนกลางของสร้อยมีความใหญ่ หรือยาวเป็นจุดเด่นและมีจี้ห้อยส่วนปลายทั้งสอง 2 ข้างที่ผ่านไปด้านหลังคอให้มีลักษณะเรียวเล็ก เพื่อให้สร้อยคอนั้นดูมีมิติ ไม่ได้แข็งทื่อเป็นเสื้อหนาทั้งเส้น ก็จะช่วยดึงความสนใจ และพลางจุดบกพร่องของลำคอได้เช่นกัน

2. ลำคอยาว

สร้อยคอสามารถช่วยแก้ไขจุดบกพร่องนี้ และช่วยให้ดูสมส่วนยิ่งขึ้นเช่นกัน เมื่อผสมผสานกับเสื้อผ้าที่เหมาะสม คนลำคอยาวควรสวมสร้อยที่มีขนาดใหญ่กำลังงาม และสั้นเหนือไหปลาร้าค่ะ เพราะจะทำให้ลำคอดูได้ส่วนยิ่งขึ้น ซึ่งสร้อยที่ใช้นั้นอาจจะเป็นสร้อยเกลี้ยงๆ เก๋ๆ ก็ได้ แต่หากต้องการสร้อยที่มีความวิจิตรมากๆ สำหรับใส่ออกงานกลางคืนก็ควรเลือกสร้อยที่ทำเป็นแผ่นกว้างประดับเพชรพลอย หรือมีลวดลายคล้ายลูกไม้ที่นำมาคาดลำคอ จะทำให้ลำคอดูกว้างและสั้นมากขึ้น แต่หากว่าอยากใส่จี้อันใหญ่ก็สามารถใช้เชือกสีทองสีเงิน หรือริบบิ้นกำมะหยี่เส้นกว้าง มาร้อยกับจี้ให้อยู่ชิดลำคอและสูงเหนือไหปลาร้า และห้ามใช้สร้อยที่ยาวเกินไหปลาร้าเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้คอของคุณดูยาวยิ่งขึ้น

3. ลำคองามระหง

ท่านที่มีลำคออย่างนี้ถือว่าโชคดีเป็นอย่างมาก เพราะสามารถสวมใส่สายสร้อยได้หลายรูปแบบอย่างสวยงาม เพียงแต่เลือกให้เข้ากับแบบเสื้อผ้า และผิวของท่านเท่านั้นก็เพียงพอ

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ใส่ต่างหู ต้องดูรูปหน้า


จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

การใส่ต่างหูนั้นนอกจากจะเลือกแบบที่ชอบแล้ว ถ้าจะให้ดีกว่านั้น ควรเลือกต่างหู
ให้เหมาะกับรูปหน้าของเราด้วยนะคะ เพราะต่างหูที่เหมาะกับรูปหน้า จะช่วยเสริม
โครงหน้าของเราให้ได้สัดส่วนงดงามยิ่งขึ้น
สังเกตไหมคะว่า คนเราจะมีรูปหน้าที่ต่างกัน บางคนหน้ากลม บางคนหน้าเหลี่ยม
บางคนหน้ายาว บางคนคางแหลม ซึ่งไม่ว่าจะรูปหน้าแบบไหน เรามีเทคนิคง่ายๆ
มาให้คุณเลือกต่างหูให้เพลินกว่าเดิมค่ะ

รูปหน้ายาวหรือเล็ก
มักจะมีทรงรูปหน้าแคบ ดังนั้นควรเลือกต่างหูทรงเหลี่ยม รูปพัด หรือทรงกลม
เพื่อช่วยให้รูปหน้าดูกว้างขึ้น และไม่ควรเลือกต่างหูรูปทรงยาวๆ เช่น รูปหยดน้ำ
ซึ่งจะเน้นให้ใบหน้าดูยาวยิ่งขึ้นไปอีก

รูปหน้ากลม
จะตรงข้ามกับคนที่รูปหน้ายาว เพราะรูปหน้ากลม ควรเลือกต่างหูที่มีรูปทรงที่
จะช่วยเน้นให้ใบหน้าดูยาวยิ่งขึ้น เช่น รูปหยดน้ำ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือรูป
กลมรี เป็นต้น เพราะต่างหูรูปทรงลักษณะนี้ จะช่วยพรางใบหน้าที่กว้างให้แลดู
เรียวยาวขึ้น และไม่ควรเลือกต่างหูที่มีขนาดเล็กๆ กลมๆ เพราะจะยิ่งเน้นให้หน้า
กลมนั้นชัดเจนยิ่งขึ้นค่ะ

รูปหน้าเหลี่ยม
คุณที่มีรูปหน้าเหลี่ยม ควรเลือกใส่ต่างหูทรงกลม หรือรูปไข่ เช่น ต่างหูแบบ
เป็นห่วงกลมๆ หรือเป็นแป้นกลมก็ได้ เพื่อช่วยลดความเหลี่ยมของใบหน้า
และไม่ควรเลือกต่างหูที่รูปทรงเหลี่ยมเด็ดขาดนะคะ เพราะยิ่งจะไปช่วยเน้น
ให้ใบหน้าที่เหลี่ยมอยู่แล้วให้แลดูเหลี่ยมมากขึ้นไปอีก


ใบหน้ารูปหัวใจ
คุณที่มีใบหน้ารูปหัวใจมักจะมีคางแหลม ส่วนล่างของใบหน้าแคบ แต่หน้าผาก
กว้าง ดังนั้นควรเลือกต่างหูที่จะช่วยเพิ่มความกว้างกับใบหน้าส่วนล่าง เช่น ต่าง
หูรูปสามเหลี่ยมแนวตั้ง รูปหยดน้ำ และไม่ควรเลือกต่างหูที่มีลักษณะช่วงบน
กว้างกว่าช่วงล่างนะคะ เพราะจะทำให้ใบหน้าไม่ได้สัดส่วนกันเข้าไปใหญ่ จะ
ยิ่งเสริมให้หน้าผากดูกว้างขึ้น และส่วนล่างเล็กลงไปอีก

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เลือกแหวนให้หนุ่ม น่ากลุ้มจัง

จากเว็บ http://www.OneclickDiamond.com
หนุ่มๆ ส่วนมากมักจะมีปัญหาในการเลือกแหวนหมั้น-แหวนแต่งงาน โดยไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนดี และจะเลือกอย่างไรดี สิ่งสำคัญที่คุณต้องคำนึงในการจะเลือกแหวนหมั้น-แหวนแต่งงาน ก็คือ ต้องคำนึงว่าแหวนวงนี้จะเป็นแหวนที่คุณต้องใส่ไปอีกเป็นเวลานาน ซึ่งการเลือกแหวนนี้ไม่ใช่แค่ให้เหมาะสมกับ ไลฟ์สไตล์ หรือ บุคลิกของคุณเท่านั้น แต่ต้องเป็นแหวนที่สวมใส่สบาย และตรงกับงบประมาณที่คุณตั้งไว้ด้วยคำแนะนำที่สำคัญที่จะช่วยให้เลือกแหวนหมั้น-แหวนแต่งงานได้ง่าย ขึ้น ดังนี้

1. เลือกแหวนที่เหมาะสมกับ lifestyle ของคุณ
2. เลือกแหวนที่บ่งบอกถึงบุคลิกภาพของคุณ
3. เลือกแหวนอย่างไรให้สวมใส่สบาย
4. ตัวเรือนควรทำจากโลหะชนิดใด White Gold , Gold หรือ Platinum
1. เลือกแหวนที่เหมาะสมกับ lifestyle ของคุณ
การที่จะเลือกว่าแหวนแต่งงานแบบใดคือแหวนที่ใช่สำหรับคุณ อันดับแรก คุณต้องคำนึงถึงไลฟ์สไตล์ของคุณก่อน ซึ่งทุกคนมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันไป แบบแหวนแบบหนึ่งอาจเหมาะกับคนหนึ่ง แต่อาจจะไม่เหมาะกับอีกคนหนึ่ง คุณลองตอบคำถามด้านล่างต่อไปนี้ ซึ่งจะช่วยให้คุณรู้ว่าควรเลือกแหวนอย่างไรอาชีพ หรืองานอดิเรกของคุณ เป็นงานที่ต้องใช้มือในการทำงานเป็นส่วนใหญ่ หรือไม่ถ้าอาชีพ หรืองานอดิเรกของคุณเป็นงานที่ต้องใช้มือเป็นสิ่งสำคัญในการทำงาน เช่นคุณมีอาชีพเป็นผู้ตรวจสอบเครื่องจักร หรือมีงานอดิเรก คือ การปีนเขา ปลูกต้นไม้ งานเหล่านี้คุณต้องใช้มือในการทำงานอย่างมาก ซึ่งมีผลต่อแหวนที่คุณสวมใส่บนนิ้วของคุณ ซึ่งจริงๆ แล้วคุณไม่ควรใส่แหวนขณะทำงานหนักเหล่านี้ แต่ถ้าคุณต้องการที่ใส่แหวนตลอดเวลา คุณก็ควรเลือกแหวนที่มีรูปแบบที่เรียบๆ และทนต่อการทำงาน หรืองานอดิเรกของคุณ

คุณจะใส่แหวนแต่งงานทุกวันหรือไม่จริงๆ แล้วคุณผู้ชายทั้งหลายที่แต่งงานแล้วก็ควรที่จะใส่แหวนทุกวันนะ คะ แต่อาชีพบางอาชีพอาจจะทำให้คุณไม่สามารถใส่แหวนได้ทุกวัน อาจจะเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักร ความสะอาด หรือ ความปลอดภัย ที่มีกฎห้ามไม่ให้ใส่แหวน หรือเครื่องประดับ เพื่อความปลอดภัยขณะทำงานโดยถ้าคุณผู้ชายที่คาดว่าจะไม่ได้ใส่แหวนทุกวัน จะได้ใส่ก็เฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือโอกาสสำคัญเท่านั้น โดยส่วนมากแล้ว คุณผู้ชายมักจะเลือกแหวนที่มีรูปแบบไม่เรียบมากนัก อาจเป็นแหวนที่มีรูปแบบ มีดีไซน์นิดหน่อย จะทำให้ดูคุณดูพิเศษขึ้นกว่าวันปกติธรรมดา ซึ่งแบบแหวนอาจจะไม่ต้องขึ้นกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง แต่เลือกให้เหมาะกับบุคลิกของคุณ

2. เลือกแหวนที่บ่งบอกถึงบุคลิกภาพ และสไตล์ของคุณ
แหวนหมั้น-แหวนแต่งงาน นี้ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์แห่งความรัก หรือสัญลักษณ์ของการแต่งงานเท่านั้น แต่แหวนวงนี้จะเป็นเครื่องประดับที่คุณต้องใส่ติดตัวไปตลอด ดังนั้นคุณควรที่จะเลือกแหวนที่เหมาะกับบุคลิกภาพ และสไตล์ของคุณ ไม่ใช่แค่เลือกแหวนที่มีแบบทันสมัย หรือเลือกแหวนจาก คอลเลคชั่นลดราคาพิเศษเท่านั้น ซึ่งวงนั้นอาจจะเป็นแหวนที่ไม่เหมาะกับตัวคุณ คุณควรให้เวลาและความใส่ใจในเลือกแหวนหมั้น-แหวนแต่งงานนี้ ซึ่งที่ได้กล่าวไปแล้วว่าแหวนวงนี้จะเป็นแหวนสำคัญ ที่คุณจะต้องใส่ติดตัวไปตลอดหลังจากการแต่งงานของคุณ
คุณเป็นคนที่บุคลิกเรียบๆ ใช่หรือไม่ถ้าคุณเป็นคนที่บุคลิกเรียบๆ ไม่หวือหวา แหวนแบบเกลี้ยง ๆ หรือแหวนเกลี้ยง มีเพชรสัก 1 เม็ดน่าจะเป็นแหวนที่เหมาะกับคุณ

คุณชอบแบบมีดีไซน์ แต่ก็ไม่หวือหวาจนเกินไป ?แบบแหวนดีไซน์นั้นมีมากมายสำหรับคุณผู้ชาย ซึ่งไม่ชอบแหวนเกลี้ยงธรรมดา แต่ก็หวีอหวาจนเกินไป ซึ่งอาจจะเป็นแบบแหวนที่เล่นดีไซน์การพ่นทราย หรือมีเซาะร่องขอบนิดหน่อย หรือจะเป็นแบบเรียบ ๆ แต่มี 2 สี (ทอง และขาว)

3. เลือกแหวนอย่างไรให้สวมใส่สบายนิ้ว
คุณผู้ชายส่วนมากมักจะกังวลว่าใส่แหวนแล้วจะไม่สบาย รำคาญ หรือหนักนิ้ว ซึ่งความกังวลนี้มักจะเกิดขึ้นกับคุณผู้ชายที่ไม่เคยใส่แหวนมาก่อน แหวนสำหรับผู้ชายสามารถสวมใส่สบายนิ้วได้ ถ้าคุณรู้จึกเลือกแบบ ซึ่งดูได้จาก 2 ปัจจัย คือ รูปร่างของแหวน และ ความกว้างของแหวน1.เลือกแบบแหวนที่มีขอบที่มน ไม่คม แต่ไม่ได้หมายความว่าแหวนที่มีแบบแบนเรียบ จะสวมใส่ไม่สบาย แหวนแบนๆ เรียบๆ นั้นก็สามารถสวมใส่สบายได้ ซึ่งขอบแหวนด้านนอกควรมีขอบทีมน ลองใช้นิ้วของคุณลูบตรงขอบนอกขอบแหวนดูคะ เมื่อลูบที่ขอบแหวนควรมีความรู้สึกที่กลมมน ไม่คม และบาดนิ้ว2. อีกข้อที่สำคัญคือ ความกว้างของแหวน โดยคุณผู้ชายนี้มีมือใหญ่ และนิ้วยาว มักจะเลือกแหวนที่มีกว้างมากหน่อย ส่วนคุณผู้ชายที่มีมือไม่ใหญ่มาก หรือมีนิ้วเรียว มักจะเลือกแหวนที่มีความกว้างประมาณ 5 มิลลิเมตร หรือไม่กว้างมากแหวนหมั้น-แหวนแต่งงานสำหรับคุณผู้ชาย มักจะกว้างกว่าของคุณผู้หญิง และคุณผู้ชายส่วนมากมักจะเลือกแหวนที่มีกว้างประมาณ 5-7 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นความกว้างของแหวนที่เป็นที่นิยมโดยทั่วไป โดยแหวนที่มีความกว้างกว่า 7 มิลลิเมตร อาจจะทำให้สวมใส่ไม่ค่อยสบายนิ้ว อาจจะรู้สึกค้ำที่นิ้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับความยาวของนิ้วแต่ละคนด้วยคะ

4. แหวนควรทำจากโลหะชนิดใด

โลหะที่เป็นที่นิยมที่ใช้สำหรับทำแหวนหมั้น-แหวนแต่งงาน มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน
1. ทอง ซึ่งทองที่นิยมนำมาทำแหวนหมั้น-แหวนแต่งงานมีด้วยกัน 2 สี คือ ทองสีทอง(Yellow Gold) และทองขาว (White Gold) อันนี้ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนนะคะ แต่ขอแนะนำว่าถ้าคุณเป็นคนที่มีสีผิวขาว หรือผิวเหลือง ควรจะใส่ทองสีขาว (White Gold) เพราะจะทำให้เพชรของคุณดูขาวสวยงาม แต่ถ้าคุณเป็นคนที่มีผิวสองสี หรือผิวคล้ำ ขอแนะนำให้ใช้สีทอง คะ (Yellow Gold) เนื่องจากจะช่วยขับสีผิวของคุณให้ดูสวยคะ ส่วนความบริสุทธ์ของทองที่แนะนำสำหรับทำตัวเรือน ควรเป็นทองที่มีความบริสุทธิ์ 75% หรือ 18K เนื่องจากทองที่มีความบริสุทธิ์ 75% นั้น จะมีความแข็งทำให้จับเพชรได้แข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่ายขณะสวมใส่ แต่ปัจจุบัน นิยมเป็นทอง 90% มากกว่า เพราะว่าซื้อเป็นการลงทุนก็ได้ มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ง่าย
2. ทองคำขาว หรือ แพลตทินัม (Platinum) เป็นโลหะอีกชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาทำตัวเรือนสำหรับแหวนหมั้นและแ หวนแต่งงาน ซึ่งเป็นโลหะสีขาว มีความบริสุทธ์มาก (ความบริสุทธ์ประมาณ 95%) มีความแข็ง ทนทาน แต่หนัก ซึ่งจะหนักกว่าทอง 18K และก็มีราคาที่สูง โดยมีราคาสูงกว่าทอง 18K อยู่ประมาณ 3 เท่าเห็นจะได้คะ

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประวัติเพชรอาถรรพ์ "Hope Diamond"


จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

เพชร นอกจากจะสวยงาม เป็นสิ่งล้ำค่าหายากแล้ว ยังผูกพันธ์อยู่กับความเชื่อมากมาย เพชร
"โฮปไดมอนด์" เพชรสีน้ำเงินเข้มเม็ดนี้เป็นอีกหนึ่งตำนานที่ได้รับการกล่าวขานมาเนิ่นนาน โฮปไดมอนด์ ปรากฏตัวเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในปี 1660 (บางเอกสารกล่าวว่าปี 1661) ว่ากันว่า เพชรโฮปมาจากดวงตาของเทวรูปในวัดริมแม่น้ำโคเลอรูน (Coleroon) ในอินเดีย เพชรหนัก 112 กะรัต(22.44 กรัม) 3/16 กะรัต ซึ่งนับว่าใหญ่ที่สุดในโลกในบรรดาเพชรสีน้ำเงินในอดีตที่เคยพบมา เม็ดนี้ ถูกขุดพบในเหมืองคอลเลอร์ (Kollur mine) ในกอลคอนดา เป็นเพชรที่หายากและมีสีน้ำเงินเหมือนสีไพลินเข้ม ชอง-แบปตีส ตาแวร์นีเย (Jean-Baptist Tavernier) พ่อค้าเพชรชื่อดังชาวฝรั่งเศส ซื้อเพชรนี้มาและลักลอบนำเข้าไปยังกรุงปารีสใน ค.ศ. 1668
จุดกำเนิดอาถรรพ์อยู่ที่เรื่องเล่าที่ว่า แท้จริงแล้วเพชรถูกขโมยมาจากพระเนตร (บางที่ก็ว่าจากพระนลาฏ) ของเทวรูปนางสีดาซึ่งเป็นร่างที่พระนางลักษมีชายาของพระวิษณุที่ชาวอินเดียเคารพนับถืออย่างสูงแปลงลงมาจุติ ทำให้เทพเจ้าไม่พอพระทัยและสาปแช่งมนุษย์ผู้ใดก็ตามที่บังอาจครอบครองสมบัติชิ้นนี้ อย่างไรก็ตาม มีผู้แสดงความคิดเห็นคัดค้านว่าตำนานนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง เนื่องจากรูปร่างของเพชรดิบสีน้ำเงินไม่เหมาะที่จะเป็นอัญมณีประดับที่พระเนตร(หรือพระนลาฏ) ของเทวรูปเลย แต่ไม่ว่าคำสาปแช่งจะมีอยู่จริงหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่จะได้เล่าต่อไปก็ล้วนชี้ให้เห็นว่าบรรดาเจ้าของเพชรอาถรรพ์ต่างก็ประสบชะตากรรมเลวร้ายทั้งสิ้น
หลังจากที่ตาแวร์นิเยร์เดินทางกลับประเทศฝรั่งเศส เขาได้ขายเพชรเม็ดใหญ่นี้ให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งราชวงศ์บูร์บอง ในปี 1668 และเมื่ออายุได้ 84 ปี ตาแวร์นิเยร์ก็เสียชีวิตอย่างลึกลับที่รัสเซีย โดยมีข่าวลือว่าเขาถูกหมาป่าฉีกร่างจนตาย นับเป็นการสังเวยครั้งแรกให้แก่อาถรรพ์เพชรโฮป พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซื้อเพชรจากตาแวร์นิเยร์ ด้วยราคาหลักล้าน เพชรถูกเจียระไนเป็นรูปหยดน้ำรูปทรงสามเหลี่ยมหนัก 67.5 กะรัต โดยนายเปเตออง (Petean) ช่างฝีมือเน้นเรื่องขนาดมากกว่าความงามของน้ำเพชร
ครั้งนี้พระองค์ทรงให้ตัดแบ่งเพชรออกเป็น 3 ส่วน ชิ้นแรกนั้นหายสาปสูญไป ส่วนอีกสองชิ้น ชิ้นหนึ่งได้รับการเจียระไนเป็นรูปหัวใจขนาด 67 1/8 กะรัต และใช้เป็นเพชรประดับประจำราชวงศ์ฝรั่งเศสมาอีกนับทศวรรษในชื่อ "เพชรมงกุฏสีน้ำเงิน" (Blue diamond of the crown) หรือ "สีน้ำเงินแห่งฝรั่งเศส" (French Blue) ซึ่งในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นเพชรโฮป ส่วนเพชรชิ้นสุดท้ายไม่มีหลักฐานแน่ชัดแต่เชื่อว่าคือเพชรที่เรียกว่า "บรันสวิก บลู " เคราะห์กรรมของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กับพระนางมารีอังตัวเน็ตนั้นมีชื่อเสียงเกินพอจนไม่มีอะไรจะให้พูดถึง และมีการกล่าวว่าเจ้าหญิงซึ่งเคยยืมเพชรเม็ดนี้จากพระนางมารีอังตัวเน็ตมาใส่บ่อยๆก็ถูกประชาชนรุมฆ่าตายอย่างทารุณ เวลาผ่านไป
ความโชคร้ายก็เริ่มคืบคลานเข้าครอบงำสมาชิกราชวงศ์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับเพชรทีละน้อย เสนาบดีคลัง นิโคลัส ฟูเก ที่เคยหยิบยืมเพชรไปใส่ ในที่สุดก็ต้องออกจากตำแหน่ง ทั้งยังต้องโทษติดคุก แต่ที่ร้ายไปกว่านั้น คือชะตากรรมของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินีมารี อังตัวเนตต์ที่ได้รับสืบทอดเพชรแห่งหายนะ ทั้งสองพระองค์ถูกตัดพระเศียรด้วยกิโยตินอย่างน่าสยดสยอง ดังที่จารึกอยู่ในประวัติศาสตร์การปฏิวัติอันนองเลือดของฝรั่งเศสในปีคริสตศักราช 1789 และบางส่วนของเพชรมรณะเม็ดนี้ก็ได้หายสาปสูญไปในเหตุการณ์วุ่นวายครั้งนี้ด้วย ปี 1792 ระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส มีกลุ่มหัวขโมยบุกเข้าปล้นเพชรบางส่วนที่เหลืออยู่จากราชวังที่ปิดตายอยู่ ในระหว่างนี้เพชรถูกตัดให้เล็กลงอีกเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยที่มาจนเหลือขนาด 44.50 กะรัต คนรักของพระองค์ที่ได้รับเพชรเม็ดนี้เป็นของขวัญก็ถูกขับออกจากราชสำนักในภายหลังเนื่องจากวางแผนจะวางยาพิษราชินี คือ มาดาม เดอ มงเตสปอง (Madam de Montespan) นางกลายเป็นที่เกลียดชังของราชสำนัก เพชรฝรั่งเศสสีน้ำเงินนี้ ได้หายไปในเดือนกันยายน ค.ศ. 1792 หลังจากการปล้นเพชรครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ที่คลังเก็บสมบัติแห่งชาติ (The National Garde Meuble) ใน ค.ศ. 1812


ต่อมาในปี 1813 ณ กรุง ลอนดอน นายหน้าค้าเพชรนาม ดาเนียล เอเลียสัน (Daniel Eliason) ได้เพชรสีน้ำเงินเม็ดหนึ่งขนาด 44 กะรัตมาไว้ในครอบครอง ถึงแม้รูปร่างลักษณะจะไม่เหมือนเดิม แต่ด้วยความงามที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นเชื่อกันว่า มันก็คือเพชรน้ำเงินแห่งฝรั่งเศสที่ถูกเปลี่ยนรูปร่างไปเพื่อให้สะดวกต่อการขนย้ายข้ามชาติอย่างลับๆ กล่าวกันว่าผู้ที่ทำการเจียระไนคือ วิลเฮล์ม ฟาลส์ (Wilhlem Fals) นักเจียระไนชาวฮอลแลนด์ก็มีจุดจบอย่างน่าเศร้า ถูกบุตรชายของตนเองขโมยเพชรล้ำค่าไปจนตรอมใจตาย ในขณะที่บุตรคนนั้นในภายหลังก็ได้ฆ่าตัวตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ มีหลักฐานจากบางแหล่งว่าพระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งราชวงศ์อังกฤษก็เป็นพระองค์หนึ่งที่เคยได้ครอบครองเพชรอาถรรพ์ และทางราชวงศ์ต้องขายมันไปเมื่อสิ้นพระชนม์เพื่อจ่ายหนี้ที่มีอยู่มหาศาล
จากนั้นเพชรก็ถูกเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ จนในปีคริสตศักราช 1939 เฮนรี ฟิลิปโฮป (Henry Philip Hope) เจ้าของมรดกบริษัทการธนาคารก็ซื้อเพชรสีน้ำเงินเม็ดนี้ไว้ เพชรมงกุฏแห่งฝรั่งเศสจึงได้กลายเป็นเพชรประจำตระกูลโฮป และได้ชื่อว่า "เพชรโฮป" นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลอร์ดฟรานซิส เพลแฮม คลินตัน โฮป (Lord Francis Pelham Clinton Hope) ซึ่งได้เป็นเจ้าของเพชรของพ่อของเขา ท้ายที่สุดแล้วกลับล้มละลายและเพชรก็ได้หายไปอีกครั้งหนึ่ง (ภายหลังเมย์ภรรยาเก่าหย่ากับฟรานซิสและใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นไปจนเสียชีวิต เธอกล่าวว่าเคราะห์ร้ายของตัวเองเป็นเพราะโฮปไดอามอนด์) หลังจากถูกขโมย เพชรถูกขายให้กับช่างเจียระไนเพชรในอัมสเตอร์ดัมส์ ซึ่งลูกชายของช่างที่ขโมยออกมาขายก็เกิดคลุ้มคลั่งจนฆ่าตัวตายไป ส่วนเอเรียสันนั้นถูกกล่าวว่าตกม้าตายหลังจากซื้อเพชรมาไว้ในครอบครอง

ฟรานซิสล้มละลาย จึงขายเพชรต่อให้กับพ่อค้าเพชรในลอนดอนชื่ออดอฟล์ เวล เป็นเงิน 29,000 ปอนด์ ซึ่งอดอฟล์ก็ขายต่อให้กับไซมอน แฟรงเกล พ่อค้าเพชรชาวอเมริกาอีกที อีกครั้งที่เพชรโฮปได้เดินทางไปทั่ว ผ่านพระหัตถ์ของเจ้าชายคานิตอฟสกีแห่งรัสเซีย ซึ่งทรงได้มอบเพชรเป็นของกำนัลแก่นางละครที่โฟลีส์ แบแย (Folies Bergere) คนเดียวกับที่พระองค์ทรงยิงจนเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันต่อมา ส่วนตัวเจ้าชายก็ถูกพวกกบฏแทงสิ้นพระชนม์ตามไปติดๆ ไปจนถึงชาวกรีกคนหนึ่งชื่อ ไซมอน มอนธะริเดส (Simon Montharides) ที่ซื้อเพชรโฮปไว้แต่ก็ต้องประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิตทั้งครอบครัว
ถึงปีคริสศักราช 1908 ปีแยร์ การ์ตีเย (Pierre Cartier) พ่อค้าเพชรชาวปารีส ได้ขายเพชรโฮปผ่านทางสุลต่านอับดุล-ฮามิด (Abdul - Hamid) เพชรตกเป็นของสุลต่านแห่งตุรกี อับดุล ฮามิดที่ 2 ไม่นาน อาณาจักรออสมันด์ล่มสลาย พระองค์จึงถูกเรียกว่าเป็น"ราชาที่ถูกเพชรสาป" แฟรงเกลขายเพชรให้กับโซโลมอน ฮาบิบ ชาวกรีก เป็นเงิน 400,000 ดอลล่าร์ ฮาบิบเอาเพชรออกขายในงานประมูลเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ และพ่อค้าเพชรโรสนัวก็เป็นผู้ซื้อไปก่อนจะขายให้กับปีแยร์ การ์ตีเย ในปี 1910 เป็นเงิน 550,000 ฟรัง และในปลายปีถัดมา นายฮาบิบ ก็เสียชีวิตจากเรืออัปปาง ที่ช่องริโอ

เพชรจึงถูกนำมาประมูลขายมาใช้หนี้ โดยปิแอร์ คาร์เทียร์เป็นผู้ได้เพชรเม็ดในปี 1950 เป็นเงิน 550,000 ฟรัง และปี 1911 จึงตกแต่งเพชรขายให้กับ วิลเลียม แมกลีน (William Mclean) ภรรยานายเอ็ดเวิร์ด แมคลีน (Edward Mclean) เจ้าของหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ แล้วเพชรเม็ดนี้ก็ถูกนำไปที่สหรัฐอเมริกา แมกลีน ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ซื้อเพชรมาด้วยราคา 154,000 ดอลลาร์สหรัฐ ภรรยาของแมกลีนต้องการให้พระทำพิธีขับไล่ผีในเพชรก่อน พิธีนี้จึงได้มีขึ้นและเธอก็ป่าวประกาศว่ามี "ฟ้าผ่าและฟ้าแลบในระหว่างพิธี" ด้วย หลังจากนั้นเธอจึงค่อยสวมใส่เพชรเม็ดนี้ โชคร้ายที่ดูเหมือนคำสาปในเพชรยังคงมีอยู่ ใน ค.ศ. 1918 ลูกชายของแมกลีนอายุ 9 ขวบ หลุดรอดจากการดูแลของบรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและถูกรถคันหนึ่งชนเสียชีวิต แมกลีนจึงดื่มเหล้าและหลังจากนั้นไม่กี่เดือนลูกสาวคนเดียวของพวกเขาก็ปลิดชีพตัวเองโดยใช้ยานอนหลับ
ใน ค.ศ. 1949 แฮร์รี วินสตัน (Harry Winston) พ่อค้าเพชรชาวนิวยอร์ก ได้ซื้อเพชรโฮปไปด้วยราคา 180,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำไปเพิ่มชุดสะสมส่วนตัวของเขา แม่ของแมคลีนเสียชีวิตหลังจากซื้อเพชรมาได้ไม่นานนัก ในไม่ช้าคนใช้ 2 คนก็เสียชีวิต ตามด้วยลูกชายวัย 10 ปีของเธออีกคน หลังเหตุการณ์นี้ เอวาลินหย่าจากเอ็ดวาร์ด ซึ่งตัวเอ็ดวาร์ดเอง หลังจากป่วยมีอาการทางจิตก็เข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตที่นั่น ลูกสาวเพียงคนเดียวของเอวาลีนตายเนื่องจากทานยานอนหลับเกินขนาด เอวาลีนพยายามแก้เคล็ดด้วยการไปอธิษฐานในโบสถ์ แต่ก็ไม่เป็นผลและต้องเสียครอบครัวทั้งหมดไป (ในความเป็นจริง ยังมีหลานอยู่รับกรรมสิทธิ์ต่อ) ใน ค.ศ. 1958 เอดนา วินสตัน (Edna Winston) ได้บริจาคเพชรเม็ดนี้ให้แก่สถาบันสมิทโซเนียนในกรุงวอชิงตัน ซึ่งเป็นที่ที่จัดแสดงเพชรจนปัจจุบัน

เป็นบทความที่คัดลอกมา

ใส่แหวนอย่างไรให้ถูกโฉลกกับวันเกิด !!!

จากเว็บ http://www.OneclickDiamond.com

เพราะชายหญิงมีธาตุที่แตกต่างกันจึงมีวิธีการที่แตกต่างกัน จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แหวนวงน้อยนี้ สามารถคุ้มครองผู้สวมใส่ได้เช่นกัน เรื่องนี้เป็นวัฒนธรรมที่มีมาแต่โบราณกาล อย่างที่ขุดได้ในกรุสมัยโบราณ ลองไปดูที่พิพิทธภัณฑ์เจ้าสามพระยาที่จังหวัดอยุธยา ก็จะมีแหวนหยกแหวนทองคำแท้และรัตนชาติต่างๆ รวมอยู่ด้วย สิ่งนี้เป็นหลักฐานพยานที่ดีอย่างยิ่ง ลองดูรายละเอียดต่อไปนี้


ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ >>


ท่านที่เกิดวันอาทิตย์ ผู้หญิงให้สวมแหวนมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายสวมแหวนมือข้างขวา ตัวเรือนควรทำจากทองแท้ เงินแท้หรือหยก ถึงจะส่งพลังดี ๆ ออกมาคุ้มครอง ในการสวมแหวน หากเป็นผู้ชายให้เน้นไปที่นิ้วกลางและนิ้วชี้ อันหมายถึงพลังอำนาจการปกครองและ วาสนาบารมี แต่หากจะสวมแหวนที่นิ้วหัวแม่มือก็ขอให้ดูตัวเองก่อน เพราะการสวมที่หัวแม่มือนั้น ต้องเป็นผู้มีเงินทองแบบหลงจู๊อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นจะเกินวาสนาตน ส่วนผู้หญิงก็ให้สวมมือซ้ายนิ้วนางหรือนิ้วกลาง ก็จะเสริมพลังของตัวเองให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ในการสวมแหวนหลายวงในนิ้วเดียวกันนั้น ไม่ควรทำ จะทำให้เกิดความผิดพลาดในเรื่องของความรักได้ง่าย ๆ


ผู้ที่เกิดวันจันทร์ >>


ท่านที่เกิดวันจันทร์ ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายให้สวมมือข้างขวา ตัวเรือนควรทำด้วยทองคำ เงิน นาค โลหะผสม หรือหินสีต่างๆก็ได้ แต่ควรเป็นแหวนที่วงค่อนข้างผอม บาง หัวแหวนเล็กๆ จึงจะสอดคล้องกับผู้ที่เกิดในวันจันทร์ ผู้ชายควรสวมแหวนเน้นไปที่นิ้วชี้ นิ้วนาง นิ้วกลางก็จะเสริมดวงและคุ้มครอง ห้ามสวมแหวนนิ้วก้อยและนิ้วหัวแม่มือเด็ดขาด ส่วนผู้หญิงก็ให้สวมที่นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย ก็จะเกิดความเจริญรุ่งเรือง สร้างพลังแห่งเมตตามหานิยมแก่เจ้าของ ไม่ควรสวมแหวนที่นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือ สามารถสวมแหวนซ้อนกันสองวงได้ แต่ถ้าเป็นสามวงซ้อนในนิ้วเดียวกันไม่ควรอย่างยิ่ง จะทำให้เกิดความผิดพลาด ในเรื่องของความรักได้ง่าย ๆ


ผู้ที่เกิดวันอังคาร >>


ท่านที่เกิดวันอังคาร ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายให้สวมนิ้วมือข้างขวา ตัวเรือนทำด้วยอะไรก็ได้ แต่ไม่ควรเป็นของที่แตกหักได้ ตัวแหวนควรค่อนข้างหนาสักหน่อยจึงจะดี หัวแหวนควรใหญ่เช่นกัน ก็จะสามารถเหนี่ยวนำความเจริญรุ่งเรืองได้ ผู้ชายควรสวมไว้ที่นิ้วกลางนิ้วชี้ ก็จะคุ้มครองผู้สวมใส่ ไม่ควรสวมแหวนนิ้วนางหรือนิ้วก้อยจะทำให้ไม่มีพลัง ส่วนผู้หญิงควรสวมแหวนที่นิ้วกลางนิ้วชี้และนิ้วนางเท่านั้น ก็จะส่งพลังคุ้มครองในทุกเรื่อง ไม่ควรสวมแหวนที่นิ้วก้อย จะทำให้เสียพลังที่เข้มแข็ง ที่สำคัญการสวมแหวนซ้อนกันหลายวงในนิ้วเดียวกันสามารถทำได้ ไม่ได้ทำให้เกิดการสูญเสียหรือมีผลใด ๆ ในเรื่องของความรัก


ผู้ที่เกิดวันพุธ >>


ท่านที่เกิดวันพุธ ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายให้สวมที่นิ้วมือข้างขวา ตัวเรือนควรทำด้วยวัสดุธรรมชาติอย่าง ทอง เงินหรือหยก ตัวแหวนควรพอดีกับนิ้ว ไม่ควรหนาหรือบางจนเกินไป หัวแหวนควรทำด้วยรัตนชาติแท้ หรือทำเป็นรูปเหลี่ยมๆ จะสามารถเพิ่มพลังของความเจริญรุ่งเรืองได้ ผู้ชายควรสวมแหวนไว้ที่นิ้วชี้ นิ้วกลางหรือนิ้วนางก็ได้ หรือจะใส่ที่นิ้วหัวแม่มือก็ได้เช่นกัน ส่วนผู้หญิงควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลางหรือนิ้วนาง ก็จะสามารถคุ้มครองได้ในทุกๆ เรื่อง นอกจากนี้ยังสามารถสวมแหวนหลายวง หลายนิ้วพร้อมกันได้ หรือจะซ้อนในนิ้วเดียวกันหลายวงก็ได้ ไม่ได้ทำให้เกิดผลเสียในเรื่องของความรักอย่างแน่นอน


ผู้ที่เกิดวันพฤหัส >>


ท่านที่เกิดวันพฤหัส ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายสวมที่นิ้วมือข้างขวา ตัวเรือนทำด้วยวัสดุธรรมชาติอย่าง ทองคำ เงินหรือทองคำขาว ตัวแหวนควรพอดีกับนิ้ว หรือค่อนข้างใหญ่หน่อยก็ยังดี หัวแหวนควรทำด้วยรัตนชาติแท้ แต่ควรจะมีประกายส่องสว่าง ถึงจะสามารถเพิ่มพลังของความเจริญรุ่งเรืองได้ ผู้ชายควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลางหรือนิ้วนางก็ได้ หรือจะใส่ที่นิ้วหัวแม่มือก็ได้เช่นกัน แต่ไม่ควรสวมแหวนนิ้วก้อย ส่วนผู้หญิงควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลางหรือนิ้วนาง ก็จะสามารถคุ้มครองได้ในทุกๆเรื่อง นอกจากนี้ไม่ควรสวมแหวนพร้อมกันหลายวง จะทำให้เสียพลังในเรื่องของความรัก เปรียบเหมือนการมีรักซ้อนซ่อนรัก


ผู้ที่เกิดวันศุกร์ >>


ท่านที่เกิดวันศุกร์ ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายสวมที่นิ้วมือขวา ตัวเรือนควรทำด้วยวัสดุธรรมชาติอย่าง ทองคำ เงินหรือทำจากหิน ตัวแหวนควรมีลักษณะเป็นแฟชั่นหยักๆ หรือเป็นคลื่น หัวแหวนควรมีสีสัน หรือเป็นแหวนหลายหัวก็ได้ จะสามารถเพิ่มพลังของความเจริญรุ่งเรืองได้ ผู้ชายควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง หรือนิ้วก้อย หรือจะใส่ที่นิ้วหัวแม่มือก็ได้เช่นกัน ส่วนผู้หญิงสามารถสวมแหวนนิ้วไหนก็ได้ในทุกนิ้ว จะสามารถคุ้มครองได้ในทุกๆ เรื่อง แต่การสวมแหวนซ้อนกันมากจนเกินไป จะทำให้เสียพลังในเรื่องของความรัก เปรียบเหมือนการมีรักซ้อนซ่อนรัก หรือจะกลายเป็นคนที่รักอิสระจนเกินกว่าจะควบคุมได้


ผู้ที่เกิดวันเสาร์ >>


ท่านที่เกิดวันเสาร์ ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายสวมที่นิ้วมือขวา ตัวเรือนควรทำด้วยวัสดุธรรมชาติอย่าง ทองคำ เงินหรือหิน ตัวแหวนควรมีความพอดีกับนิ้ว หรือค่อนข้างใหญ่หน่อยก็ยังดี หัวแหวนควรทำด้วยรัตนชาติแท้ แต่ควรจะมีสีค่อนข้างเข้ม จะสามารถเพิ่มพลังของความเจริญรุ่งเรืองได้ ผู้ชายควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลาง หรือจะใส่ที่นิ้วหัวแม่มือก็ได้เช่นกัน แต่ไม่ควรสวมแหวนที่นิ้วก้อยหรือนิ้วนาง จะเสียพลังในการคุ้มครอง ส่วนผู้หญิง ควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลางหรือนิ้วนางก็จะสามารถคุ้มครองได้ในทุกๆเรื่อง นอกจากนี้ไม่ควรสวมแหวนพร้อมกันหลายวง จะทำให้เสียพลังในเรื่องของความรัก เปรียบเหมือนการมีรักซ้อนซ่อนรัก
เป็นบทความที่คัดลอกมาค่ะ