1. ภัยที่เกิดจากการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์คืออะไร
คำว่า "ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์" หมายถึงการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูล สินค้า บริการ และการชำระค่าสินค้า ตัวอย่างง่ายๆ ของการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การรับส่งอีเมล์ระหว่างกัน การใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าทั้งที่ห้างสรรพสินค้าหรือบนอินเทอร์เน็ต การโอนเงินหรือถอนเงินผ่านเครื่อง ATM การเล่นเว็บบนสังคมออนไลน์ (Social Network) เช่น Facebook, MSN, Messenger เป็นต้น ดังนั้น ภัยที่เกิดจากการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวทุกคนแล้วในปัจจุบัน
2. รูปแบบของภัยที่เกิดในประเทศไทยและการรับมืออย่างง่าย
ภัยที่เกิดจากการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่มักจะพบในประเทศไทย และมีเหยื่อจำนวนมากถูกหลอกลวงมีจำนวน 7 ประเภทด้วยกัน คือ
- การถูกขโมยข้อมูลบัตรเครติต
- การถูกขโมยข้อมูลที่ใช้ในการระบุตัวตน และ Phishing
- ถูกหลอกลวงให้หลงเชื่อ และโอนเงินให้
- ผู้ขายไม่มีตัวตนจริง และไม่ส่งสินค้า
- ถูกโกงด้วยบัตรเครดิตปลอม หรือบัตรเครดิตที่ถูกขโมยข้อมูลมา
- ถูกหลอกให้รัก และโอนเงินให้
- การสมัครสมาชิกเครือข่ายธุรกิจเพื่อทำงานจากบ้าน (Work at home)
รูปแบบที่ 1: การใช้เครื่อง skimmer คัดลอกข้อมูลส่วนตัวที่บันทึกในแถบแม่เหล็กบนบัตรเครดิต จากนั้นนำไปทำบัตรปลอมแล้วนำไปซื้อสินค้า
รูปแบบที่ 2 : การขโมยบัตรเครดิต หรือการนำบัตรเครดิตที่สูญหายไปใช้โดยเจ้าของบัตรไม่รู้ตัว
รูปแบบที่ 3 : การปลอมเอกสารสำคัญเพื่อสมัครบัตรเครดิตเช่น สำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน สลิปเงินเดือน แล้วนำบัตรไปใช้
วิธีการแก้ไขและป้องกัน การถูกฉ้อโกงโดยการปลอมบัตรเครดิต
- ควรเก็บรักษาบัตรเครดิต บัตรประชาชน ใบขับขี่ และเอกสารสำคัญอื่นๆ ไว้ในที่ปลอดภัยไม่มอบให้กับผู้ไม่น่าไว้ใจง่ายๆ
- ควรจดหมายเลขและเลขที่บัญชีบัตรเครดิต และหมายเลขโทรศัทพ์ของแผนกบริการไว้ในที่ปลอดภัย ไม่ควรเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์
- เพื่อป้องกันกลโกงแบบ Skimming เวลาชำระค่าสินค้าด้วยการรูดบัตร ควรอยู่ ณ จุดที่ทำรายการหรือที่มองเห็นได้ หรือใช้บัตรเครดิตที่มีการฝังชิพ
- หลีกเลี่ยงการใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าในร้านค้าหรือ ประเทศที่มีความเสี่ยง(แถบอัฟริกา ยูเครน รัสเซีย)
- ตรวจสอบรายการในสลิปบัตร และเก็บสำเนาไว้ตรวจกับใบแจ้งยอด
- ระวังการใช้บัตรเครดิตผ่านตู้ ATM กดรหัสต้องไม่ให้ผู้อื่นเห็น
- ไม่ควรทิ้งเอกสารสำคัญส่วนตัว เช่น บัตรประชาชน สลิปเงินเดือน ไว้ตามที่ต่าง ๆ ถ้าจะทิ้งต้องย่อยทิ้งเป็นชิ้นเล็กๆ
2.2 การขโมยข้อมูลที่ใช้ในการระบุตัวตน และ Phishing มี 2 รูปแบบคือ
- การคุกคามในรูปแบบของการโทรศัทพ์ เพื่อหลอกลวงข้อมูลส่วนบุคคล การพยายามเจาะข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าธนาคาร โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของธนาคารพาณิชย์
- การคุกคามในรูปแบบของการปลอมอีเมล (Email Spoofing) และทำการสร้าง เว็บไซต์ปลอม เพื่อทำการหลอกลวงให้เหยื่อหรือผู้รับอีเมลเปิดเผยข้อมูลทางด้านการเงิน หรือข้อมูลส่วนบุคคล
วิธีการป้องกัน
- ในกรณีที่ได้รับโทรศัพท์จากธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทบัตรเครดิต ผู้บริโภคจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลในบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัตร ATM ของท่านให้แก่คนที่ท่านไม่รู้จักโดยขอให้ตรวจสอบไปยังธนาคารพาณิชย์หรือผู้ประกอบธุรกิจบตรเครดิตโดยตรง เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง
- ในกรณีที่ได้รับอีเมลแอบอ้างจากสถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์ บริษัทบัตรเครดิต หรือแหล่งอื่นที่น่าเชือถือ ให้เชื่อได้ว่าไม่มีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นจากสถาบันการเงิน หรือหน่วยงานต่างๆ จริง และควรตรวจสอบลิงค์ได้คลิกเข้าไปว่าเป็นลิงค์ของหน่วยงานนั้นจริงหรือไม่ และโดยทั่วไปธนาคารและสถาบันการเงินจะไม่มีนโยบายสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าผ่านอีเมล
- ผู้ใช้งานควรจะตรวจสอบความปลอดภัยในการเข้าใช้ระบบโดยสังเกตุที่การเข้ารหัสข้อมูลว่าเว็บไซต์ดังกล่าวมีการเข้ารหัสข้อมูลหรือไม่ โดยสังเกตุที่อยู่ของเว็บไซต์จะต้องเริ่มต้นว่า https:// ไม่ใช่เพียง http: และมีแม่รูปกุญแจอยู่ที่ใต้ Browser
2.3 ถูกหลอกลวงให้หลงเชื่อ และโอนเงินให้ มิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร หรือธนาคารแห่งประเทศไทยว่าได้รับเงินคืนโดยไปทำรายการที่ตู้ ATM
วิธีการป้องกัน
- ประชาชนทั่วไปควรรับทราบว่าธนาคารแห่งประเทศไทย หรือกรมสรรพากร ไม่มีนโยบายในการขอข้อมูลส่วนบุคคล หรือติดต่อขอให้ทำรายการที่เครื่อง ATM ดังนั้นเมื่อได้รับการติดต่อดังกล่าว ควรจะแจ้งความเพื่อดำเนินคดี
- เมื่อพบหน้าจอ ATM ที่เป็นภาษาที่ตนเองไม่รู้จัก หรือไม่สามารถอ่านได้ ให้ทำรายการยกเลิกทันที
- ประชาชนทั่วไปควรทราบว่าเทคโนโลยีของตู้ ATM นั้นไม่สามารถทำรายการรับเงินคืนได้ดังนั้นหากมีการแจ้งว่าให้ทำรายการรับเงินผ่านตู้ ATM นั้น เป็นการหลอกลวงให้โอนเงินอย่างแน่นอน
2.4 ผู้ขายไม่มีตัวตนจริง และไม่ส่งสินค้า มี 2 กรณี
- มิจฉาชีพปลอมตัวเป็นผู้ขายที่ไม่มีตัวตนจริง และไม่ส่งสินค้า
- ผู้ขายไม่มีตัวตนจริง โดยหลอกทั้งผู้ซื้อและผู้ขายตัวจริง
วิธีการป้องกัน
- ผู้บริโภคควรตรวจสอบเว็บไซต์ว่าเชื่อถือได้ มีร้านเป็นหลักแหล่ง สามารถติดต่อได้ท้งทางโทรศัพท์บ้านและไปรษณีย์
- ผู้บริโภคไม่ควรเห็นแก่สินค้าราคาถูกผิดปกติ และพยายามเร่งรัดให้ซื้อสินค้าเนื่องจากในทางธุรกิจไม่สามารถเป็นไปได้ เมื่อเห็นสินค้าราคาถูกมากผิดปกติให้ตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการหลอกลวง
- ผู้บริโภคควรจะสังเกตุเครื่องหมายรับรองความน่าเชื่อถือที่ผู้ประกอบการได้รับ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจก่อนซื้อสินค้าและบริการ
- ผู้บริโภคจะต้องตรวจสอบชื่อบัญชีธนาคารของผู้ขายก่อนจะโอนเงินทุกครั้งว่าตรงกับผู้ที่ติดต่อด้วยหรือไม่ หากเป็นชื่อบุคคลธรรมดาให้พึงระวังเป็นพิเศษมากกว่าชื่อบัญชีธนาคารที่เป็นนิติบุคคล
2.5 ถูกโกงด้วยบัตรเคดิตปลอม
ผู้ประกอบการ e-Commerce มักจะถูกแอบโกงจากผู้ซื้อทางออนไลน์ที่ใช้บัตรเครดิตปลอม ใช้หมายเลขบัตรเครดิตปลอม ใช้หมายเลขบัตรเครดิตที่ขโมยมาจากผู้อื่น หรือบัตรที่หมดอายุแล้ว
วิธีการป้องกัน
- ผู้ประกอบการจะต้องตรวจสอบความน่าเชื่อถือของหมายเลขบัตรเครดิต ที่ใช้บนอินเตอร์เน็ตกับธนาคารเจ้าของบัตร (Verificaion Service)
- ควรจะเลือกใช้บริการของธนาคารที่มีระบบการตรวจสอบข้อมูลของบัตรเครดิตที่มากกว่าการเข้ารหัสเพียงอย่างเดียว โดยจะต้องเลือกธนาคาร ระบบการรับชำระเงินที่มีการตรวจสอบข้อมูลบัตรเครดิตได้ เช่น ที่อยู่ หรือหมายเลขโทรศัพท์ ของเจ้าของบัตร และมีระบบ Secured Code (Verified by VISA หรือ Mastercard SecureCode)
- ผู้ประกอบการควรตรวจสอบรายการที่มีมูลค่าสูง หรือซื้อสินค้าจำนวนมากผิดปกติ ด้วยการโทรศัพท์กลับไปตรวจสอบกับธนาคารเพื่อให้ธนาคารตรวจสอบกับเจ้าของบัตรต่อไป
- ผู้ประกอบการไม่ควรรับบัตรเครดิตจากธนาคารผู้ออกบัตรจากประเทศที่มีความเสี่ยง (สามารถตรวจสอบรายชื่อจากธนาคาร) หรือขายสินค้าให้กับผู้ซื้อที่ใช้บัตรเครดิตในการจ่ายเงิน กับที่อยู่ที่ส่งของมาจากคนละประเทศ
2.6 ถูกหลอกให้รัก และให้โอนเงินให้
มีผู้เสียหายร้องเรียนเกี่ยวกับคดีที่ถูกหลอกลวงผ่านทาง Chat room โดยเหยื่อส่วนใหญ่จะเป็นสุภาพสตรี และได้รู้จักกับคู่สนทนาที่อ้างว่าเป็นชายชาวต่างชาติ โดยเหยื่อจะถูกหลอกให้หลง เชื่อว่าคู่สนทนานั้นมีตัวตนตริงและทำให้เหยื่อหลงรัก จากนั้นไม่นานคู่สนทนาจะแจ้งว่าได้ส่งของขวัญมูลค่าสูงมาให้เหยื่อทางไปรษณีย์ จากนั้นไม่นานจะมีโทรศัพท์มาหาเหยื่อ โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัทขนส่ง และแจ้งว่าพัสดุที่ส่งมานั้นมีภาษี และค่าขนส่งที่เกินกว่าที่ผู้ส่งได้ชำระไว้ และขอให้ผู้รับชำระค่าภาษีและค่าขนส่ง
วิธีการป้องกัน
- ผู้ใช้บริการแช๊ต (Chat) ผ่านอินเทอร์เน็ตควรจะตระหนักถึงภัยในประเด็นนี้ที่มีมากขึ้นตามข่าวที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์หรือสื่อออนไลน์ และไม่ควรจะหลงเชื่อบุคคลอื่นที่ตนเองไม่รู้จัก ผ่านทางอินเทอร์เน็ตโดยเด็ดขาด
- หากฝ่ายที่สนทนาด้วยแจ้งว่าได้ทำการส่งของ และมีบริษัทผู้ส่งของติดต่อมา จะต้องทำการตรวจสอบโดยตรงไปยังบริษัทส่งของที่แจ้งมาว่ามีชื่อเสียงเพียงใด หากไม่มีชื่อเสียงหรือเป็นที่รู้จัก ห้ามหลงเชื่อโดยเด็ดขาด
- ควรจะขอหมายเลขส่งของหรือหมายเลขที่ต้องเสียภาษีจากผู้โทรศัพท์แจ้ง และนำหมายเลขนั้นไปตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร เพื่อตรวจสอบว่าได้มีการเรียกเก็บภาษี หรือมีสินค้านั้นส่งมาจริงหรือไม่
2.7 การสมัครสมาชิกเครือข่ายธุรกิจ เพื่อทำงานจกาบ้าน (Work at home)
วิธีการปัองกัน
- ผู้บริโภคควรจะศึกษาและสอบถามรายละเอียดของบริษัท รวมทั้งรูปแบบการทำธุรกิจโดยละเอียดจนแน่ใจว่าผู้โฆษณามีตัวตนอยู่จริง และมีโมเดลธุรกิจที่ชัดเจน หากทางผู้โฆษณาบ่ายเบี่ยงที่จะให้ข้อมูลจนกว่าจะชำระเงินค่าสมาชิกก่อน ให้เชื่อได้ว่าเป็นการหลอกลวงจากมิจฉาชีพ เนื่องจากผิดวิสัยของบริษัทที่ต้องการขยายธุรกิจที่จะต้องอธิบายโมเดลทางธุรกิจให้กับผู้บริโภคอย่างชัดเจน
- ผู้บริโภคต้องระลึกเสมอว่าในความเป็นจริงไม่มีธุรกิจใดที่ได้เงินมาอย่างง่ายๆ ด้วยการทำงานที่บ้านเพียงแค่วันละ 2-3 ชั่วโมง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น