วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ความหมายของอัญมณีจากบทกลอน



เว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

ได้เจอบทกลอนพระราชนิพนธ์ เกี่ยวกับอัญมณี เลยเก็บเอามาฝากค่ะ ลองดูการตีความตามบทกลอนนี้นะคะว่าอัญมณีแต่ละชนิด มีความหมายอย่างไร

"ธรรมรงค์รายรัดพระหัตถ์รอบ มงคลประกอบยอดทับทิมบนเรือนหมอน
เพชรมณฑปเหลี่ยมวิลาสปาดยอดรอน มรกตเหลี่ยมเกสรเท่าผลบัว
โกเมนน้ำหมึกทั้งบุศย์นอก มุกดาเท่าบัวบอกเป็นหมอกทั่ว
เพชรฑูรย์สังวาลกลิ้งอยู่เต็มตัว นิลไม่ชั่วใสโปร่งตลอดซับ
ทั้งเก้าวงล้วนผูกเป็นเรือนยอด สลับเพชรบ่าสอดแกมสลับ
อีกวงหนึ่งธรรมรงค์สำหรับทัพ นพเก้าเรืองประดับระยับพราย
แล้วทรงรัดเข็มขัดประจำมั่น เรือนครุฑเพชรกุดั่นกระสันสาย
วะวาบวับแววเวียนวิเชียรพราย สอดสายสังวาลนพรัตน์..."

อัญมณี ทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในพระนิพนธ์นี้เชื่อกันว่า
เพชร ทำให้มีอานุภาพ ชนนะศัตรู ครองความเป็นผู้ยิ่งใหญ่
ทับทิม ทำให้สมบูรณ์ด้วยลาภยศ มีอายุยืน
ถ้าเป็นเจ้าเมืองฝนจะตกต้องตามฤดูกาล
มรกต ทำให้อยู่ยงคงกระพัน ป้องกันอาวุธ เขี้ยวงา หรืออุบัติเหตุ
บุษราคัม ทำให้มีเสน่ห์ ใจคอเยือกเย็น สุขุม รอบคอบ
โกเมน ทำให้คลาดแคล้วจากอันตราย เจริญรุ่งเรือง อายุยืนนาน
นิลกาฬ (ไพลิน) ทำให้ร่ำรวย
มุกดาหาร ทำให้มีเสน่ห์ เป็นมงคล ร่มเย็น และชนะข้าศึกศัตรู
เพทาย ทำให้ชนะคดีความ ชีวิตรุ่งเรือง
ไพฑูรย์ ป้องกันฟืนไฟ มีเทวดามาคุ้มครอง
อัญมณีทั้งเก้าชนิด รวมเรียกว่า นพเก้า ถือเป็นมงคลสูงสุด ใครมีอยู่ในครอบครองนับว่าโชคดีมาก เป็นมงคลแก่ชีวิตตลอดไป

วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ตัวช่วยในการใส่ต่างหูให้ดูสวย




ต่างหูเป็นเครื่องประดับชิ้นเล็กๆที่ทรงอิทธิพลต่อผู้หญิงเป็นอย่างมาก เพราะต่างหูล้วนเป็นเครื่องประดับชิ้นที่ผู้หญิงส่วนมากเลือกใส่ก่อนจะออกจากบ้าน และโดยเฉลี่ยแล้วผู้หญิงหนึ่งคนจะมีต่างหูรูปแบบต่างๆตั้งแต่ 5-10 คู่ขึ้นไป ต่างหูสามารถทำให้เสื้อผ้า ทรงผม เมคอัพ และเครื่องประดับชิ้นอื่นๆดูดีขึ้นมาได้ เพียงแต่ต้องรู้จักการเลือกใช้ให้เหมาะสมเท่านั้นเอง
รูปหน้า
เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกต่างหู เทคนิคง่ายๆก็คือ อย่าเลือกต่างหูที่มีรูปทรงเดียวกับใบหน้า เช่น ต่างหูห่วง หรือทรงกลม จะทำให้ใบหน้ากลมยิ่งดูใหญ่และกลมมากขึ้น เช่นเดียวกับต่างหูทรงสี่เหลี่ยมก็จะเน้นความเหลี่ยมของใบหน้าให้ยิ่งชัดเจน ดังนั้นคนหน้าเหลี่ยมจึงควรเลือกใส่ต่างหูทรงกลม เพื่อช่วยลวงตา ขนาดของใบหูก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณา โดยให้ขนาดของต่างหูเหมาะสมกับใบหู เช่น ใบหูใหญ่ก็ไม่ควรใส่ต่างหู stud ที่เล็กเกินไป หรือต่างหูห่วงที่ใหญ่มากๆ ก็ไม่เหมาะกับใบหูขนาดเล็ก
ทรงผม
ทรงผมของคุณควรจะรับกับใบหน้า เพราะเมื่อสวมใส่ต่างหูที่เหมาะสมแล้ว จะช่วยทำให้เกิดความสมดุลระหว่างทรงผมและลักษณะของผม เช่น ต่างหูแชนเดอเลียร์จะดูสวยงามที่สุดกับทรงผมดัดเป็นลอนอ่อนๆ
เสื้อผ้า
หากเลือกใส่ต่างหูขนาดใหญ่ ชุดเกาะอกหรือชุดที่เปิดเผยผิวช่วงลำคอและไหล่มากๆ จะทำให้ดูดีกว่า และไม่ควรใส่สร้อยคอในกรณีนี้ เพราะจะดูเยอะจนเกินไป
สี
เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสีของต่างหูที่ไปกันได้กับสีผิวและสีสันของเสื้อผ้า แต่สำหรับแฟชั่นในปัจจุบัน การใช้สีที่ตัดกันอย่างรุนแรงก็สร้างความน่าสนใจได้ ขอแค่เพียงความมั่นใจในการใส่เท่านั้น

อ้างอิง : ebay

เพชร รูปทรงใดสะท้อนความเป็นคุณ




สำหรับสาวๆ แล้ว หากให้เลือกเครื่องประดับชิ้นงามสักชิ้น คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ที่จะเลือก “เพชร” เพราะเป็นอัญมณีที่สาวๆ ทุกคนใฝ่ฝันอยากจะครอบครอง และหากมีโอกาสได้เลือกเพชรเป็นเครื่องประดับสักชิ้น สิ่งที่สาวๆ ควรพิจารณา คือ การเลือกรูปทรงที่เหมาะสมกับบุคลิกของตนเอง…เราลองมาสำรวจกันสักนิดซิว่า เพชรในแต่ละรูปทรง บ่งบอกและสะท้อนบุคลิกสาวๆ อย่างไรกันบ้าง


เพชรทรงกลม (Round) ด้วยความที่เป็นเพชรรูปทรงคลาสสิก จึงเป็นที่นิยมของผู้หญิงจำนวนมาก ซึ่งเพชรทรงกลมนี้ สื่อถึงความโรแมนติก และความสื่อสัตย์
เพชรเหลี่ยม (Retangular) เพชรแห่งความหรูหรา ทำให้ผู้ที่ประดับกายด้วยเพชรรูปทรงนี้ ดูดี มีเสน่ห์ดึงดูดใจ แลดูเป็นหญิงสาวที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง มีความเป็นผู้นำ กล้าได้กล้าเสีย
เพชรเหลี่ยมมรกต (Emerald) เพชรที่สวยงามตลอดกาล สื่อถึงความสงบ สง่างาม สมกับเป็นผู้ดี มีใจกว้างขวาง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เพชรรูปไข่ (Oval) รูปทรงไข่ สื่อถึงความเป็นผู้หญิง เป็นที่รักของเด็กๆ มีความมั่นคง ซื่อสัตย์ และสาวที่ช่างคิดสร้างสรรค์
เพชรรูปหยดน้ำ (Pear) บ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงที่แข้มแข็ง มีความมั่นใจ แฝงไปด้วยเสน่ห์ และโรแมนติก ในทางตรงกันข้าม เธออาจจะเป็นสาวเจ้าน้ำตา ขี้สงสาร ได้ในบางครั้ง
เพชรรูปหัวใจ (Heart) “หัวใจ” สัญลักษณ์ ของ ความรักแท้ หวานโรแมนติค
เพชรมาคีย์ (Marquise) บ่งบอกถึงความมั่งคั่ง เลิศ หรูหรา สง่างาม
ข้อมูล ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

เพชรกุหลาบ เพชรเกสร ต่างกันอย่างไร



สมัยก่อนการเจียรไนเพชร ยังไม่มีการพัฒนามากนัก การเจียรจึงเจียรง่ายๆ มีเหลี่ยมเพียง 30 กว่าเหลี่ยม เรียกว่า "เหลี่ยมกุหลาบ" (Rose cut) บางคนอาจเรียกว่าเหลี่ยมเก่า ด้านราคาก็จะต่ำกว่าเหลี่ยมเกสรค่อนข้างมากต่อมาการเจียรไน มีการพัฒนามากขึ้น จึงมีการเพิ่มเหลี่ยมเข้าไป ไฟ และการสะท้องของแสงมากขึ้น เหลี่ยมจะมี 56 เหลี่ยม เรียกว่า (RoundBrilliant)หรือ "เหลี่ยมเกสร" นั้นเองค่ะโดยเหลี่ยมเกสรก็จะมีความแตกต่างกันออกไปในระดับของรายละเอียด และความปราณีตในการเจียร โดยจะแบ่งเป็นเหลี่ยมรัชเชี่ยน มีการเจียรที่รัสเซียคุณภาพการเจียรเกรดเอ รองลงมาก็จะเป็นเหลี่ยมเบลเยี่ยม มีการเจียรที่เบลเยี่ยมจะมีคุณภาพดี ส่วนเหลี่ยมอินเดีย คุณภาพไม่ค่อยดี มีการเจียรที่อินเดีย เพราะค่าแรงถูก

เพิ่มเติม : - เพชรร่วง หมายถึง เพชรที่ยังไม่ขึ้นตัวเรือน เป็นเพชรเปล่า ค่ะ- เพชรซีก หมายถึง เพชรชนิดหนึ่งที่คุณภาพยังไม่ถึงเพชร แล้วนำมาใส่ตัวเรือน สมัยก่อนจะนิยมกันค่ะ

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

ดีไซน์ใหม่ของเพชร โฮป


จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

ถ้าเอ่ยถึงชื่อเพชรสีน้ำเงินขนาด 45.52 กะรัตที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่าง “เพชรโฮป” หรือ Hope Diamond คงจะมีน้อยคนนักที่จะไม่เคยได้ยินชื่อของเพชรอันเลื่องชื่อนี้ เพชรโฮปได้รับการขนานนามว่าเป็นเพชรต้องคำสาป เพราะไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่เคยได้ครอบครองเพชรเม็ดนี้ ต่างประสบกับหายนะทั้งสิ้น จนในที่สุดเมื่อเพชรเม็ดนี้ตกมาเป็นของ Harry Winston จึงได้ถูกมอบให้กับพิพิทธภัณฑ์สมิทโซเนียน (The Smithsonian Institution National Museum of Natural History) เมื่อ 50 ปีที่แล้ว
ในโอกาสที่ครบรอบ 50 ปีของการบริจาคเพชรให้กับพิพิทธภัณฑ์แห่งนี้ เพชรโฮปจะถูกนำมาประดับลงในตัวเรือนดีไซน์ใหม่ตามรูปที่เห็น โดยการผลิตของ Harry Winston ซึ่งดีไซน์นี้เป็นดีไซน์ที่ได้รับการโหวตสูงสุดจากทั้งหมด 3 ดีไซน์ด้วยกัน โดยได้รับคะแนนเสียง 45,000 คะแนน จากทั้งหมด 110,000 คะแนน
สำหรับขั้นตอนการผลิตและรูปลักษณ์ใหม่ของเพชรโฮป จะมีการเผยแพร่ในเดือนมีนาคม 2010 ทางรายการสารคดีของพิพิทธภัณฑ์ในชื่อ “Mystery of Hope Diamond” และช่วงปลายปี 2010 ก็จะนำเพชรโฮปกลับไปประดับไว้ในตัวเรือนดั้งเดิมซึ่งเป็นแพลตินั่มล้อมรอบด้วยเพชรรูปหยดน้ำจำนวน 16 เม็ด เชื่อมกับสร้อยเพชรทรง cushion อีกจำนวน 45 เม็ด
ซึ่งแน่นอนว่า ขณะที่ตัวเรือนดีไซน์ใหม่กำลังอยู่ในระหว่างการผลิตจนถึงการปรากฏโฉมของเพชรโฮปในรูปลักษณ์ใหม่นั้น ตัวเรือนดีไซน์ดั้งเดิมที่กล่าวมาจะถูกจัดแสดงไว้โดยปราศจากเพชรสีน้ำเงินไปจนถึงปลายปี 2010

ข้อมูลและภาพประกอบ http://www.luxist.com/, http://www.msnbc.msn.com/

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

นวัตกรรมล่าสุดของการเลเซอร์ข้อความบนผิวเพชร




Jewelry Exchange แถลงข่าวการนำเทคโนโลยีเลเซอร์บนผิวเพชรแบบใหม่มาใช้ มีชื่อว่า PhotoScribe Cold Laser System ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวสามารถให้ลูกค้าได้มีโอกาสเลือกแบบและข้อความที่ต้องการจารึกลงบนเพชรและนั่งดูกระบวนการเลเซอร์ผ่านทางจอมอนิเตอร์ได้ ซึ่งใช้เวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น ต่างกับการเลเซอร์วิธีเดิม ที่ต้องมีขั้นตอนของการเตรียมก่อนและหลังการเลเซอร์ โดยสิ่งที่เลเซอร์ลงไปเป็นได้ทั้งข้อความหรือรหัสหมายเลขของใบรับรองคุณภาพเพชร

เทคโนโลยีนี้มีความปลอดภัยสูงเมื่อนำมาใช้กับเพชร ผู้ให้บริการระบุว่าสามารถเลเซอร์ข้อความได้รอบ girdle โดยที่เลเซอร์จะไม่ผลกระทบต่อ clarity หรือสีของเพชรแต่อย่างใด และยังไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า การมองข้อความที่เลเซอร์ลงไปแล้วจะต้องมองภายใต้กำลังขยาย 10 เท่าขึ้นไป นอกจากนี้ข้อความที่เลเซอร์ลงไปบนผิวเพชรจะไม่ลบเลือนจนกว่าจะถูกขัดออกด้วยเครื่องมือ แต่เนื่องจากรอยเลเซอร์นั้นบางมาก จึงไม่ทำให้น้ำหนักหรือรูปร่างของเพชรเปลี่ยนแปลงจากเดิมด้วย
ข้อมูลและภาพประกอบ The Jewelry Exchange

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แหวนลายนิ้วมือ เทรนด์ใหม่ล่าสุดของแหวนแต่งงาน


จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

แหวนลายนิ้วมือ เทรนด์ใหม่ล่าสุดของแหวนแต่งงาน

เชื่อแน่ว่าหลายๆคนคงต้องการให้แหวนแต่งงานของตัวเองพิเศษและไม่เหมือนใคร Brent and Jessica Williams จึงได้สร้างสรรค์แหวนแต่งงานที่มีลักษณะพิเศษที่รับรองว่าไม่มีทางซ้ำกันแน่ๆ เพราะใช้ลายนิ้วมือของคู่บ่าวสาวมาเป็นลวดลายบนตัวเรือน โดยคู่บ่าวสาวสามารถเลือกได้ว่าต้องการให้ลายนิ้วมืออยู่ที่ส่วนใดของแหวน เป็นไปได้เหมือนกันนะคะว่าแหวนลายนิ้วมือแบบนี้อาจจะกลายเป็นแหวนยอดนิยมในอนาคต จากความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครนั่นเอง

ข้อมูล MillionLooks.com

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ทำอย่างไร...เมื่อแพ้เครื่องประดับโลหะ

จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

เคยสังเกตบ้างหรือไม่ว่าบางครั้งหลังจากการใส่เครื่องประดับ มักจะทิ้งร่องรอยเป็นคราบสีเขียวหรือดำไว้บนผิว คราบเหล่านี้ไม่ได้บ่งบอกว่าเราแพ้โลหะเสมอไป แต่เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นระหว่างโลหะกับผิวหนัง โดยเฉพาะเมื่อเครื่องประดับสัมผัสกับผิวหนังที่มีเหงื่อ

เครื่องประดับทองแดง
ทองแดงจะเกิดปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดคราบสีเขียว เครื่องประดับที่คุณใส่อาจจะไม่ใช่ทองแดงร้อยเปอร์เซนต์ แต่ก็อาจมีทองแดงมากพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยานี้ขึ้น และในบางคนก็อาจเกิดอาการแพ้โลหะทองแดงซึ่งจะแสดงอาการให้เห็นจากผื่นหรือปื้นแดง

เครื่องประดับเงิน
เครื่องประดับเงินหรือ sterling silver จะประกอบด้วยทองแดง 7.5% แต่คราบที่เกิดขึ้นมักจะเป็นสีดำ นอกจากจะเกิดขึ้นเวลาสวมใส่แล้ว ยังพบได้บ่อยเมื่อทิ้งเครื่องประดับเงินไว้ให้สัมผัสอากาศ เครื่องประดับเงินจะเกิดความหมอง ซึ่งโดยทั่วไปสามารถป้องกันได้โดยการเคลือบหรือชุบด้วยสารที่ช่วยป้องกันความหมอง แต่ก็สามารถหลุดลอกได้เมื่อใส่ไปนานๆ

เครื่องประดับทอง
ทองคำเป็นโลหะที่ไม่ทำปฏิกิริยากับผิวหนัง แต่คราบที่เกิดขึ้นนั้นอาจมาจากทองแดง นิกเกิล หรือเงินที่ผสมลงไปเพื่อให้เครื่องประดับทองมีความแข็งแรงและสามารถขึ้นรูปเป็นชิ้นงานได้ง่าย เครื่องประดับทองจะอยู่ในรูปของทองเค ซึ่งตัวเลขที่อยู่หน้า K (Karat) นั้น มีความหมายถึง สัดส่วนของทองคำ ยิ่งตัวเลขน้อยเท่าใด ก็แสดงว่ามีทองคำผสมอยู่น้อย และมีโลหะอื่นๆอยู่มาก สำหรับบางคนอาจจะไม่เกิดอาการแพ้หรือมีคราบที่เกิดจากปฏิกิริยาของโลหะกับผิวหนัง แม้ว่าจะใส่เครื่องประดับทองแค่ 10K ก็ตาม แต่บางคนแม้จะใส่ 18K ก็ยังคงมีอาการอยู่

เครื่องประดับนิกเกิล
สำหรับผู้ที่แพ้โลหะนิกเกิล จะไม่เกิดคราบสีบนผิว แต่จะมีอาการคันและแดงบริเวณที่เครื่องประดับสัมผัสกับผิว

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดคราบสีและอาการแพ้โลหะ

- เปลี่ยนไปใช้เครื่องประดับที่มีส่วนผสมของทองคำมากขึ้น เช่น 18K

- แพลตินัมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะไม่มีทางทำให้เกิดอาการแพ้ แต่ก็มีราคาที่สูงมาก

- แจ้งให้ทางร้านทราบว่าคุณต้องการให้ชุบหรือเคลือบเครื่องประดับเพื่อป้องกันการสัมผัสโดยตรงของโลหะกับผิว

- วิธีการง่ายๆที่สามารถทำได้เองก็คือ ใช้น้ำยาเคลือบเล็บป้ายบริเวณที่เครื่องประดับสัมผัสกับผิว

- หากเลือกซื้อ body jewelry ควรเลือกชนิดที่เป็นสแตนเลส

- ไทเทเนียมเป็นอีกทางหนึ่งสำหรับผู้ทีแพ้โลหะ และไทเทเนียมก็ไม่ทำให้เกิดคราบสีด้วย

- จิวเวลรี่บางประเภทจะระบุว่า hypo-allergenic ซึ่งทำเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่แพ้ง่าย

- พยายามอย่าให้เหงื่อออกเมื่อสวมใส่เครื่องประดับ

- ดูแลรักษาเครื่องประดับให้สะอาดและปราศจากคราบหมอง
บทคัดลอก : Gemclub

ทองขาว กับ ทองคำขาว (White gold vs. Platinum) ต่างกันอย่างไร

จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

ทองขาว ใช่ ทองคำขาว หรือเปล่า? คำตอบคือ ไม่
ทองคำขาว มีชื่อภาษาอังกฤษว่า แพลทินัม (Platinum) ส่วนทองขาว มีชื่อภาษาอังกฤษว่า ไวท์โกลด์ (White gold)ผู้ซื้อส่วนมากมักจะโดนร้านค้าสอนให้เรียกแบบผิดๆ ซึ่งทำให้สินค้าของตัวเองดูมีราคามากขึ้น แต่จริงๆแล้วทองคำขาวมีราคาสูงกว่าทองคำบริสุทธิ์ (Gold) ประมาณ 2 เท่า ซึ่งทองขาวจะถูกว่าทองคำบริสุทธ์ เนื่องจากมีส่วนผสมที่ไม่ครบ 100% นั่นเอง

ทองขาว (White gold)
ทองขาว คือโลหะผสม ของทองคำและโลหะสีขาว เช่น เงิน และ แพลเลเดียม ซึ่งเราอาจจะเห็นทองขาวมีตัวเลข 90% , 75% หรือ % อื่นๆ ก็ตาม ดูจากตัวอย่าง เช่น ทองคำ (Yellow gold) มีตัวเลข 90% หมายถึง ทองคำ 90% + ทองแดงและสังกะสี อีก 10% ทองขาว (White gold) มีตัวเลข 90% หมายถึง ทองคำ 90% + เงินและแพลเลเดียม อีก 10% จึงเห็นได้ว่ามีทองคำเป็นโลหะหลักเหมือนกัน แต่มีส่วนผสมอื่นต่างกัน เมื่อก่อนจะใช้ นิกเกิล (Nickel) มาเป็นส่วนผสมในการทำทองขาว แต่ต่อมาก็ไม่ได้นำมาใช้ เพราะว่าเกิดปฏิกิริยาทางเคมีกับผิวหนังของบางคน โดยมีการระคายเคืองเล็กน้อยและอาจจะเป็นผื่นคัน
แหวนทองขาวระยะหลังจะมีการเคลือบผิวด้วยโลหะสีขาวที่เรียกว่า โรเดียม (Rhodium) ซึ่งดูคล้ายกับทองคำขาวมาก การเคลือบผิว(ชุบ)ด้วยโรเดียม จะทำให้ทองขาวดูขาวมากขึ้นอีก โดยธรรมชาติแล้วสีของทองขาวจะเป็นสีออกขาวอมเทา แต่โรเดียมจะขาวมากและแข็งมากอีกด้วย ในการเก็บรักษาแหวนทองขาวให้ดูดีตลอด จะต้องนำไปชุบด้วยโรเดียมทุกๆ 12-18 เดือน
ทองคำกับทองขาว อย่างไหนแพงกว่ากัน? ขึ้นอยู่ส่วนผสม หรือเปอร์เซ็นต์ (%) ของทองคำที่นำไปใช้ แต่ถ้ามีส่วนผสมหรือเปอร์เซ็นต์ (%) ที่เท่ากันแล้ว ทองขาว 75% จะแพงกว่าทองคำ 75% เพราะว่าเงินและแพลเลเดียม ที่ใช้เป็นส่วนผสมของทองขาว มีราคาสูงกว่า ทองแดงและสังกะสีที่ใช้เป็นส่วนผสมของทองคำ
ทองคำขาว (Platinum)
ทองคำขาวคือโลหะสีขาวบริสุทธิ์ (อยู่ที่ประมาณ 95%) มาจากรากศัพท์ว่า แพลทินา ซึ่งแปลว่าเงินเล็กๆ ทองคำขาวมักพบเป็นเม็ดเล็กๆ หรือก้อนขนาดเล็กที่อยู่ในตะกอบทับถมของแร่ แหล่งทับถมแหล่งใหญ่คือ รัสเซีย แคนาดา และแอฟริกาใต้ ด้วยความแข็งที่ไม่มาก จึงไม่ค่อยเป็นผลึกที่เป็นเหลี่ยมคมมาก มักถูกใช้เป็นตัวโลหะสำคัญในเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่นเครื่องมือผ่าตัด เพราะไม่เป็นสนิม และที่นิยมมาทำเครื่องประดับ เพราะจะมีความขาวที่ยาวนานมาก (ไม่ลอกไม่ดำ) ดังนั้นจึงไม่ต้องนำไปชุบด้วย โรเดียมเหมือนทองขาว ทองคำขาวจะมีความหนักกว่าทองคำเมื่อเทียบในปริมาณเท่ากัน เมื่อสวมใส่จะสามารถรู้สึกได้ทันที และทองคำขาวจะแพงกว่าทองคำ ราวๆ 2 เท่า แต่เวลาขายราคาจะลดลงอย่างน่าใจหาย อาจต่ำกว่าทองคำด้วยซ้ำไป

สีของทองขาว แตกต่างจาก ทองคำขาว อย่างไร ถ้าเป็นเครื่องประดับทองขาวแท้ๆ จะมีสีขาวอมเทา แต่ถ้าถูกชุบด้วยโรเดียมมาใหม่ๆ สีจะขาวกว่าซึ่งดูคล้ายทองคำขาวมาก แทบแยกไม่ออก
บทคัดลอก : Gemclub

วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แหวนแบบไหน ใช่เลยกับนิ้วเรา

จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

เครื่องประดับ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสาวๆ เพราะเครื่องประดับ นั้นจะทำให้เราดูดี ูมีรสนิยมมากกว่าที่จะแต่งตัวแบบธรรมดาเรียบๆ ไม่มี เครื่องประดับ อะไรเลย โดยเฉพาะ "แหวน" ที่เป็นเครืองประดับพื้นฐานและยังมีความหมายมากสำหรับการเริ่มต้น ชีวิตคู่ แต่คุณสาวๆ บางคนแอบกังวลใจเล็กน้อยในการเลือกซื้อแหวนให้เข้ากับนิ้วมือตัวเอง เพราะไม่รู้ว่าจะเลือกซื้อแหวนแบบไหนดี สไตล์ไหนดี เข้ามาสวมใส่นิ้วมือของคุณ แล้วจะทำให้นิ้วมือของคุณแลดูสวยงาม จนทำให้คนรอบข้างอยากสัมผัสอย่ากังวลใจไปเลยค่ะ เรามีวิธีง่ายๆ มาแนะนำให้คุณๆ ทราบกัน แต่ก่อนอื่นเราต้องดูลักษณะนิ้วมือของเราก่อนว่าเป็นแบบไหนกัน

> นิ้วอวบ-มืออวบ คนที่มีนิ้วมือที่อวบควรจะเลือกใส่แหวนที่ตรงหัวแหวนมีลักษณะรูปทรงไปในทางยาว รูปทรงหยดน้ำ รูปทรงไข่ (ทรงมาตรฐานของโลก) หรือรูปทรงสี่เหลี่ยมยาวก็ได้ เพราะรูปทรงยาว ตัวหัวแหวนนี้จะช่วยให้นิ้วคุณดูไม่ทึบไม่สั้น ดูโปร่ง แล้วเรียวยาวมากขึ้นด้วย หรือจะเลือกทรงที่มีตัวเรือนเตี้ยๆ เรียบๆ แต่มีสีสันสดใส หรืออ่อนหวานก็ได้ส่วนบ่าแหวนก็ไม่ควรเลือกที่มีลักษณะใหญ่ทึบ ควรจะเลือกบ่าแหวนที่ดูบางๆ จะดีกว่า อ้อ! และที่สำคัญ คุณอย่าใส่แหวนที่คับเกินไปนะ เพราะนั่นหมายถึงส่วนเกินตรงนิ้วของคุณจะโผล่ออกมาเห็นได้ชัดมากขึ้น


> นิ้วสั้น-มือสั้น คนที่มีนิ้วลักษณะนี้ ถ้าเลือกรูปทรงหัวแหวนไม่ดีก็จะทำให้นิ้วยิ่งดูสั้นลงไปอีก รูปทรงหัวแหวนที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุดสำหรับคนนิ้วสั้น ก็คือรูปทรงสี่เหลี่ยม และลองหันมาใส่ทรงหัวใจที่มีขนาดใหญ่นิดหนึ่ง หรือรูปทรงไม่ยาวมากนักก็กิ๊บเก๋น่ารักดูเป็นสาวหวานด้วย ส่วนบ่าแหวนสำหรับคนนิ้วสั้น ไม่ควรบางหรือหนาเกินไป เลือกที่พอดีๆ จะดีกว่า


> นิ้วยาว-มือยาว ส่วนใหญ่คนที่มีนิ้วลักษณะนี้ก็จะเป็นคนที่มีรูปร่างสมส่วน ผอมสูง แต่อย่าเพิ่งอิจฉาคนที่มีนิ้วลักษณะนี้นะ เพราะคนที่มีนิ้วยาวนี้ไม่ได้สวมแหวนแล้วสวยอย่างที่คิด ลองสังเกตดูตรงโคนนิ้วดูจะเห็นว่ามีเนื้อที่โคนนิ้วค่อนข้างน้อย แต่ตรงข้อนิ้วกลับใหญ่ ดูๆ แล้วเหมือนทรงนาฬิกาทราย ทำให้ใส่แหวนยากกว่านิ้วลักษณะอื่น เพราะเมื่อใส่เข้าไปแหวนจะติดตรงข้อนิ้วก่อนจะถึงโคนนิ้ว แล้วจะทำให้หลวมตรงโคนนิ้ว แหวนก็จะหมุนไปหมุนมาค ส่วนรูปทรงที่เหมาะกับนิ้วยาวนี้ก็ควรเลือกทรงที่มีลักษณะเป็นเส้นคดโค้งเพิ่มความอ่อนหวาน หรือแบบกว้างและยาวไปจนเต็มข้อนิ้ว เพราะจะทำให้นิ้วคุณดูมีเนื้อเต็มขึ้น มีน้ำมีนวล และยังช่วยลดความยาวผอมของนิ้วลงด้วย


> นิ้วเรียวงาม-มือเรียว โอ้ว ! เพอร์เฟ็กต์ ถือว่าได้เปรียบกว่านิ้วลักษณะอื่นๆ เลย เพราะไม่ว่าแหวนทรงเรียวยาวตามนิ้ว ทรงแบบขวางนิ้ว ทรงไข่ ทรงสี่เหลี่ยม หรือทรงกลม ก็ดูจะเข้ากับนิ้วลักษณะนี้เสียนี่กระไร แต่ก็มีข้อควรระวังอยู่นิดหนึ่งคือไม่ควรเลือกแหวนที่มีลักษณะใหญ่มากคล้ายผู้ชาย เพราะจะให้ความรู้สึกแข็งเกินไป จะทำให้บดบังนิ้วที่เรียวงามดูสวยอยู่แล้ว

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สร้อยข้อมือ แบบไหนที่เหมาะกับคุณ

จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

การเลือกสร้อยข้อมือก็คล้ายกับหลักการเลือกสร้อยคอ คือเราต้องกลับมาพิจารณาแขนและข้อมือของเราก่อน ว่าเหมาะกับ สร้อยข้อมือแบบใด เพราะแขนและข้อมือของคุณผู้หญิงแต่ละท่านย่อมแตกต่างกันไปตามเค้าโครงสรีระเฉพาะตัว และ เราก็แบ่งลักษณะของแขนได้ 3 แบบ ด้วยกันคือ

1.แขนอวบท้วม ผู้ที่แขนที่อวบท้วมนั้นมักจะมีข้อมือที่กลมกลึง กระดูกข้อมือไม่ปูดโปนร้อยข้อมือที่เหมาะกับผู้ที่มีข้อมือและลำแขนแบบนี้ ควรเป็นสร้อยที่มีขนาดพอเหมาะไม่ใหญ่จนเกินไป หรือมีขนาดเล็ก ซึ่งอาจจะเป็นสร้อยข้อมือที่หลวมพอ เหมาะ ไม่ฟิตจนรัดข้อมือแน่นจนเกินไป เวลาสวมใส่ให้ตัวสร้อยสามารถเลื่อนไปมากับข้อมือได้ ดูสบายๆ และสวยงามซึ่งจะ ช่วยทำให้ข้อมือของท่านดูเล็กลงได้ และยังสวยงามอีกด้วย
2.แขนผอม ลักษณะแขนแบบนี้เราจะสังเกตเห็นกระดูกข้อต่อของข้อมือได้ชัดเจน มักพบกับผู้ที่มีรูปร่างผอม ลักษณะผู้ที่มี แขนและข้อมือแบบนี้ ควรสวมสร้อยข้อมือที่มีลักษณะแบน หรือสร้อยข้อมือที่ค่อนข้างหนา เช่น ลองสวมสร้อยข้อมือไข่มุก เม็ดเล็กแบบ 2 หรือ 3 สาย หรือกำไลแบนๆ ที่ใหญ่พอควร และควรเลือกที่มีความหลวมกว่าข้อมือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะจะช่วยอำพรางความผอมของลำแขนและกระดูกข้อมือได้เป็นอย่างดี ข้อควรระวังเวลาสวมใส่ ระวังอย่าให้สร้อยข้อมือ หรือกำไลหลวมเกินไป เพราะจะยิ่งเน้นความผอมของแขนและกระดูกข้อมือให้ชัดเจน
3.แขนเรียวงาม ผู้ที่มีแขนและข้อมือแบบนี้ถือว่าโชคดี เพราะสามารถเลือกใส่สร้อยข้อมือแบบใดก็ได้ แต่ก็ต้องพิจารณา เรื่องของสีสันอัญมณีที่ประดับว่าเหมาะกับสีผิว และรูปแบบของสร้อยว่าเหมาะกับบุคลิกของท่านหรือไม่ เหมาะกับเสื้อผ้าที่ สวมใส่ขณะนั้นหรือไม่ ซึ่งหากไม่ระวังเรื่องการเลือกให้เหมาะสม สร้อยข้อมือที่สวยงาม ก็อาจจะลดทอนความงามของท่าน ก็เป็นได้

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สร้อยคอแบบไหน ได้ใจคนใส่


จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

ก่อนจะเลือกซื้อสร้อยคอสักเส้น เราควรสำรวจลำคอของตัวเองเสียก่อนว่า มีรูปทรงเช่นไร อวบอั๋น สั้นยาวอย่างไรเพื่อที่จะได้พิจารณาว่าสร้อยคอที่เหมาะกับบุคลิกภาพของตนควรเป็นแบบใด รูปทรงของลำคอแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน แต่เราสามารถสรุปได้เป็น 3 ลักษณะ ดังนี้

1. ลำคอสั้น

ไม่ต้องตกใจ การที่มีลำคอสั้นเกินไป การสวมสร้อยคอจะช่วยพลางจุดบกพร่องส่วนนี้ได้เป็นอย่างดี การเลือกสร้อยคอที่เหมาะสมกับลำคอแบบนี้ ให้เลือกสร้อยคอเส้นเล็กๆ ที่มีความยาวเลยปุ่มคอ (ตรงกลางไหปลาร้า)มาสัก 2 นิ้ว ซึ่งถ้าเป็นสร้อยคอพร้อมห้อยจี้เพชรหรือพลอยขนาดเล็กก็จะช่วยให้ลำคอของท่านดูยาวขึ้นควรหลีกเลี่ยงการใส่สร้อยคอที่สั้น และเส้นโตเกินไปติดลำคอ ประเภท Choker เพราะจะยิ่งเน้นให้เห็นว่าลำคอนั้นสั้น และดูไม่สวยงาม แต่ถ้ามีความจำเป็น หรืออยากจะใส่สร้อยใหญ่ๆ อลังการ มีลวดลายประดับเพชรพลอยมากๆ สำหรับการออกงานกลางคืนนั้น ขอให้เลือกแบบที่ส่วนกลางของสร้อยมีความใหญ่ หรือยาวเป็นจุดเด่นและมีจี้ห้อยส่วนปลายทั้งสอง 2 ข้างที่ผ่านไปด้านหลังคอให้มีลักษณะเรียวเล็ก เพื่อให้สร้อยคอนั้นดูมีมิติ ไม่ได้แข็งทื่อเป็นเสื้อหนาทั้งเส้น ก็จะช่วยดึงความสนใจ และพลางจุดบกพร่องของลำคอได้เช่นกัน

2. ลำคอยาว

สร้อยคอสามารถช่วยแก้ไขจุดบกพร่องนี้ และช่วยให้ดูสมส่วนยิ่งขึ้นเช่นกัน เมื่อผสมผสานกับเสื้อผ้าที่เหมาะสม คนลำคอยาวควรสวมสร้อยที่มีขนาดใหญ่กำลังงาม และสั้นเหนือไหปลาร้าค่ะ เพราะจะทำให้ลำคอดูได้ส่วนยิ่งขึ้น ซึ่งสร้อยที่ใช้นั้นอาจจะเป็นสร้อยเกลี้ยงๆ เก๋ๆ ก็ได้ แต่หากต้องการสร้อยที่มีความวิจิตรมากๆ สำหรับใส่ออกงานกลางคืนก็ควรเลือกสร้อยที่ทำเป็นแผ่นกว้างประดับเพชรพลอย หรือมีลวดลายคล้ายลูกไม้ที่นำมาคาดลำคอ จะทำให้ลำคอดูกว้างและสั้นมากขึ้น แต่หากว่าอยากใส่จี้อันใหญ่ก็สามารถใช้เชือกสีทองสีเงิน หรือริบบิ้นกำมะหยี่เส้นกว้าง มาร้อยกับจี้ให้อยู่ชิดลำคอและสูงเหนือไหปลาร้า และห้ามใช้สร้อยที่ยาวเกินไหปลาร้าเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้คอของคุณดูยาวยิ่งขึ้น

3. ลำคองามระหง

ท่านที่มีลำคออย่างนี้ถือว่าโชคดีเป็นอย่างมาก เพราะสามารถสวมใส่สายสร้อยได้หลายรูปแบบอย่างสวยงาม เพียงแต่เลือกให้เข้ากับแบบเสื้อผ้า และผิวของท่านเท่านั้นก็เพียงพอ

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ใส่ต่างหู ต้องดูรูปหน้า


จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

การใส่ต่างหูนั้นนอกจากจะเลือกแบบที่ชอบแล้ว ถ้าจะให้ดีกว่านั้น ควรเลือกต่างหู
ให้เหมาะกับรูปหน้าของเราด้วยนะคะ เพราะต่างหูที่เหมาะกับรูปหน้า จะช่วยเสริม
โครงหน้าของเราให้ได้สัดส่วนงดงามยิ่งขึ้น
สังเกตไหมคะว่า คนเราจะมีรูปหน้าที่ต่างกัน บางคนหน้ากลม บางคนหน้าเหลี่ยม
บางคนหน้ายาว บางคนคางแหลม ซึ่งไม่ว่าจะรูปหน้าแบบไหน เรามีเทคนิคง่ายๆ
มาให้คุณเลือกต่างหูให้เพลินกว่าเดิมค่ะ

รูปหน้ายาวหรือเล็ก
มักจะมีทรงรูปหน้าแคบ ดังนั้นควรเลือกต่างหูทรงเหลี่ยม รูปพัด หรือทรงกลม
เพื่อช่วยให้รูปหน้าดูกว้างขึ้น และไม่ควรเลือกต่างหูรูปทรงยาวๆ เช่น รูปหยดน้ำ
ซึ่งจะเน้นให้ใบหน้าดูยาวยิ่งขึ้นไปอีก

รูปหน้ากลม
จะตรงข้ามกับคนที่รูปหน้ายาว เพราะรูปหน้ากลม ควรเลือกต่างหูที่มีรูปทรงที่
จะช่วยเน้นให้ใบหน้าดูยาวยิ่งขึ้น เช่น รูปหยดน้ำ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือรูป
กลมรี เป็นต้น เพราะต่างหูรูปทรงลักษณะนี้ จะช่วยพรางใบหน้าที่กว้างให้แลดู
เรียวยาวขึ้น และไม่ควรเลือกต่างหูที่มีขนาดเล็กๆ กลมๆ เพราะจะยิ่งเน้นให้หน้า
กลมนั้นชัดเจนยิ่งขึ้นค่ะ

รูปหน้าเหลี่ยม
คุณที่มีรูปหน้าเหลี่ยม ควรเลือกใส่ต่างหูทรงกลม หรือรูปไข่ เช่น ต่างหูแบบ
เป็นห่วงกลมๆ หรือเป็นแป้นกลมก็ได้ เพื่อช่วยลดความเหลี่ยมของใบหน้า
และไม่ควรเลือกต่างหูที่รูปทรงเหลี่ยมเด็ดขาดนะคะ เพราะยิ่งจะไปช่วยเน้น
ให้ใบหน้าที่เหลี่ยมอยู่แล้วให้แลดูเหลี่ยมมากขึ้นไปอีก


ใบหน้ารูปหัวใจ
คุณที่มีใบหน้ารูปหัวใจมักจะมีคางแหลม ส่วนล่างของใบหน้าแคบ แต่หน้าผาก
กว้าง ดังนั้นควรเลือกต่างหูที่จะช่วยเพิ่มความกว้างกับใบหน้าส่วนล่าง เช่น ต่าง
หูรูปสามเหลี่ยมแนวตั้ง รูปหยดน้ำ และไม่ควรเลือกต่างหูที่มีลักษณะช่วงบน
กว้างกว่าช่วงล่างนะคะ เพราะจะทำให้ใบหน้าไม่ได้สัดส่วนกันเข้าไปใหญ่ จะ
ยิ่งเสริมให้หน้าผากดูกว้างขึ้น และส่วนล่างเล็กลงไปอีก

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เลือกแหวนให้หนุ่ม น่ากลุ้มจัง

จากเว็บ http://www.OneclickDiamond.com
หนุ่มๆ ส่วนมากมักจะมีปัญหาในการเลือกแหวนหมั้น-แหวนแต่งงาน โดยไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนดี และจะเลือกอย่างไรดี สิ่งสำคัญที่คุณต้องคำนึงในการจะเลือกแหวนหมั้น-แหวนแต่งงาน ก็คือ ต้องคำนึงว่าแหวนวงนี้จะเป็นแหวนที่คุณต้องใส่ไปอีกเป็นเวลานาน ซึ่งการเลือกแหวนนี้ไม่ใช่แค่ให้เหมาะสมกับ ไลฟ์สไตล์ หรือ บุคลิกของคุณเท่านั้น แต่ต้องเป็นแหวนที่สวมใส่สบาย และตรงกับงบประมาณที่คุณตั้งไว้ด้วยคำแนะนำที่สำคัญที่จะช่วยให้เลือกแหวนหมั้น-แหวนแต่งงานได้ง่าย ขึ้น ดังนี้

1. เลือกแหวนที่เหมาะสมกับ lifestyle ของคุณ
2. เลือกแหวนที่บ่งบอกถึงบุคลิกภาพของคุณ
3. เลือกแหวนอย่างไรให้สวมใส่สบาย
4. ตัวเรือนควรทำจากโลหะชนิดใด White Gold , Gold หรือ Platinum
1. เลือกแหวนที่เหมาะสมกับ lifestyle ของคุณ
การที่จะเลือกว่าแหวนแต่งงานแบบใดคือแหวนที่ใช่สำหรับคุณ อันดับแรก คุณต้องคำนึงถึงไลฟ์สไตล์ของคุณก่อน ซึ่งทุกคนมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันไป แบบแหวนแบบหนึ่งอาจเหมาะกับคนหนึ่ง แต่อาจจะไม่เหมาะกับอีกคนหนึ่ง คุณลองตอบคำถามด้านล่างต่อไปนี้ ซึ่งจะช่วยให้คุณรู้ว่าควรเลือกแหวนอย่างไรอาชีพ หรืองานอดิเรกของคุณ เป็นงานที่ต้องใช้มือในการทำงานเป็นส่วนใหญ่ หรือไม่ถ้าอาชีพ หรืองานอดิเรกของคุณเป็นงานที่ต้องใช้มือเป็นสิ่งสำคัญในการทำงาน เช่นคุณมีอาชีพเป็นผู้ตรวจสอบเครื่องจักร หรือมีงานอดิเรก คือ การปีนเขา ปลูกต้นไม้ งานเหล่านี้คุณต้องใช้มือในการทำงานอย่างมาก ซึ่งมีผลต่อแหวนที่คุณสวมใส่บนนิ้วของคุณ ซึ่งจริงๆ แล้วคุณไม่ควรใส่แหวนขณะทำงานหนักเหล่านี้ แต่ถ้าคุณต้องการที่ใส่แหวนตลอดเวลา คุณก็ควรเลือกแหวนที่มีรูปแบบที่เรียบๆ และทนต่อการทำงาน หรืองานอดิเรกของคุณ

คุณจะใส่แหวนแต่งงานทุกวันหรือไม่จริงๆ แล้วคุณผู้ชายทั้งหลายที่แต่งงานแล้วก็ควรที่จะใส่แหวนทุกวันนะ คะ แต่อาชีพบางอาชีพอาจจะทำให้คุณไม่สามารถใส่แหวนได้ทุกวัน อาจจะเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักร ความสะอาด หรือ ความปลอดภัย ที่มีกฎห้ามไม่ให้ใส่แหวน หรือเครื่องประดับ เพื่อความปลอดภัยขณะทำงานโดยถ้าคุณผู้ชายที่คาดว่าจะไม่ได้ใส่แหวนทุกวัน จะได้ใส่ก็เฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือโอกาสสำคัญเท่านั้น โดยส่วนมากแล้ว คุณผู้ชายมักจะเลือกแหวนที่มีรูปแบบไม่เรียบมากนัก อาจเป็นแหวนที่มีรูปแบบ มีดีไซน์นิดหน่อย จะทำให้ดูคุณดูพิเศษขึ้นกว่าวันปกติธรรมดา ซึ่งแบบแหวนอาจจะไม่ต้องขึ้นกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง แต่เลือกให้เหมาะกับบุคลิกของคุณ

2. เลือกแหวนที่บ่งบอกถึงบุคลิกภาพ และสไตล์ของคุณ
แหวนหมั้น-แหวนแต่งงาน นี้ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์แห่งความรัก หรือสัญลักษณ์ของการแต่งงานเท่านั้น แต่แหวนวงนี้จะเป็นเครื่องประดับที่คุณต้องใส่ติดตัวไปตลอด ดังนั้นคุณควรที่จะเลือกแหวนที่เหมาะกับบุคลิกภาพ และสไตล์ของคุณ ไม่ใช่แค่เลือกแหวนที่มีแบบทันสมัย หรือเลือกแหวนจาก คอลเลคชั่นลดราคาพิเศษเท่านั้น ซึ่งวงนั้นอาจจะเป็นแหวนที่ไม่เหมาะกับตัวคุณ คุณควรให้เวลาและความใส่ใจในเลือกแหวนหมั้น-แหวนแต่งงานนี้ ซึ่งที่ได้กล่าวไปแล้วว่าแหวนวงนี้จะเป็นแหวนสำคัญ ที่คุณจะต้องใส่ติดตัวไปตลอดหลังจากการแต่งงานของคุณ
คุณเป็นคนที่บุคลิกเรียบๆ ใช่หรือไม่ถ้าคุณเป็นคนที่บุคลิกเรียบๆ ไม่หวือหวา แหวนแบบเกลี้ยง ๆ หรือแหวนเกลี้ยง มีเพชรสัก 1 เม็ดน่าจะเป็นแหวนที่เหมาะกับคุณ

คุณชอบแบบมีดีไซน์ แต่ก็ไม่หวือหวาจนเกินไป ?แบบแหวนดีไซน์นั้นมีมากมายสำหรับคุณผู้ชาย ซึ่งไม่ชอบแหวนเกลี้ยงธรรมดา แต่ก็หวีอหวาจนเกินไป ซึ่งอาจจะเป็นแบบแหวนที่เล่นดีไซน์การพ่นทราย หรือมีเซาะร่องขอบนิดหน่อย หรือจะเป็นแบบเรียบ ๆ แต่มี 2 สี (ทอง และขาว)

3. เลือกแหวนอย่างไรให้สวมใส่สบายนิ้ว
คุณผู้ชายส่วนมากมักจะกังวลว่าใส่แหวนแล้วจะไม่สบาย รำคาญ หรือหนักนิ้ว ซึ่งความกังวลนี้มักจะเกิดขึ้นกับคุณผู้ชายที่ไม่เคยใส่แหวนมาก่อน แหวนสำหรับผู้ชายสามารถสวมใส่สบายนิ้วได้ ถ้าคุณรู้จึกเลือกแบบ ซึ่งดูได้จาก 2 ปัจจัย คือ รูปร่างของแหวน และ ความกว้างของแหวน1.เลือกแบบแหวนที่มีขอบที่มน ไม่คม แต่ไม่ได้หมายความว่าแหวนที่มีแบบแบนเรียบ จะสวมใส่ไม่สบาย แหวนแบนๆ เรียบๆ นั้นก็สามารถสวมใส่สบายได้ ซึ่งขอบแหวนด้านนอกควรมีขอบทีมน ลองใช้นิ้วของคุณลูบตรงขอบนอกขอบแหวนดูคะ เมื่อลูบที่ขอบแหวนควรมีความรู้สึกที่กลมมน ไม่คม และบาดนิ้ว2. อีกข้อที่สำคัญคือ ความกว้างของแหวน โดยคุณผู้ชายนี้มีมือใหญ่ และนิ้วยาว มักจะเลือกแหวนที่มีกว้างมากหน่อย ส่วนคุณผู้ชายที่มีมือไม่ใหญ่มาก หรือมีนิ้วเรียว มักจะเลือกแหวนที่มีความกว้างประมาณ 5 มิลลิเมตร หรือไม่กว้างมากแหวนหมั้น-แหวนแต่งงานสำหรับคุณผู้ชาย มักจะกว้างกว่าของคุณผู้หญิง และคุณผู้ชายส่วนมากมักจะเลือกแหวนที่มีกว้างประมาณ 5-7 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นความกว้างของแหวนที่เป็นที่นิยมโดยทั่วไป โดยแหวนที่มีความกว้างกว่า 7 มิลลิเมตร อาจจะทำให้สวมใส่ไม่ค่อยสบายนิ้ว อาจจะรู้สึกค้ำที่นิ้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับความยาวของนิ้วแต่ละคนด้วยคะ

4. แหวนควรทำจากโลหะชนิดใด

โลหะที่เป็นที่นิยมที่ใช้สำหรับทำแหวนหมั้น-แหวนแต่งงาน มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน
1. ทอง ซึ่งทองที่นิยมนำมาทำแหวนหมั้น-แหวนแต่งงานมีด้วยกัน 2 สี คือ ทองสีทอง(Yellow Gold) และทองขาว (White Gold) อันนี้ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนนะคะ แต่ขอแนะนำว่าถ้าคุณเป็นคนที่มีสีผิวขาว หรือผิวเหลือง ควรจะใส่ทองสีขาว (White Gold) เพราะจะทำให้เพชรของคุณดูขาวสวยงาม แต่ถ้าคุณเป็นคนที่มีผิวสองสี หรือผิวคล้ำ ขอแนะนำให้ใช้สีทอง คะ (Yellow Gold) เนื่องจากจะช่วยขับสีผิวของคุณให้ดูสวยคะ ส่วนความบริสุทธ์ของทองที่แนะนำสำหรับทำตัวเรือน ควรเป็นทองที่มีความบริสุทธิ์ 75% หรือ 18K เนื่องจากทองที่มีความบริสุทธิ์ 75% นั้น จะมีความแข็งทำให้จับเพชรได้แข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่ายขณะสวมใส่ แต่ปัจจุบัน นิยมเป็นทอง 90% มากกว่า เพราะว่าซื้อเป็นการลงทุนก็ได้ มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ง่าย
2. ทองคำขาว หรือ แพลตทินัม (Platinum) เป็นโลหะอีกชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาทำตัวเรือนสำหรับแหวนหมั้นและแ หวนแต่งงาน ซึ่งเป็นโลหะสีขาว มีความบริสุทธ์มาก (ความบริสุทธ์ประมาณ 95%) มีความแข็ง ทนทาน แต่หนัก ซึ่งจะหนักกว่าทอง 18K และก็มีราคาที่สูง โดยมีราคาสูงกว่าทอง 18K อยู่ประมาณ 3 เท่าเห็นจะได้คะ

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประวัติเพชรอาถรรพ์ "Hope Diamond"


จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

เพชร นอกจากจะสวยงาม เป็นสิ่งล้ำค่าหายากแล้ว ยังผูกพันธ์อยู่กับความเชื่อมากมาย เพชร
"โฮปไดมอนด์" เพชรสีน้ำเงินเข้มเม็ดนี้เป็นอีกหนึ่งตำนานที่ได้รับการกล่าวขานมาเนิ่นนาน โฮปไดมอนด์ ปรากฏตัวเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในปี 1660 (บางเอกสารกล่าวว่าปี 1661) ว่ากันว่า เพชรโฮปมาจากดวงตาของเทวรูปในวัดริมแม่น้ำโคเลอรูน (Coleroon) ในอินเดีย เพชรหนัก 112 กะรัต(22.44 กรัม) 3/16 กะรัต ซึ่งนับว่าใหญ่ที่สุดในโลกในบรรดาเพชรสีน้ำเงินในอดีตที่เคยพบมา เม็ดนี้ ถูกขุดพบในเหมืองคอลเลอร์ (Kollur mine) ในกอลคอนดา เป็นเพชรที่หายากและมีสีน้ำเงินเหมือนสีไพลินเข้ม ชอง-แบปตีส ตาแวร์นีเย (Jean-Baptist Tavernier) พ่อค้าเพชรชื่อดังชาวฝรั่งเศส ซื้อเพชรนี้มาและลักลอบนำเข้าไปยังกรุงปารีสใน ค.ศ. 1668
จุดกำเนิดอาถรรพ์อยู่ที่เรื่องเล่าที่ว่า แท้จริงแล้วเพชรถูกขโมยมาจากพระเนตร (บางที่ก็ว่าจากพระนลาฏ) ของเทวรูปนางสีดาซึ่งเป็นร่างที่พระนางลักษมีชายาของพระวิษณุที่ชาวอินเดียเคารพนับถืออย่างสูงแปลงลงมาจุติ ทำให้เทพเจ้าไม่พอพระทัยและสาปแช่งมนุษย์ผู้ใดก็ตามที่บังอาจครอบครองสมบัติชิ้นนี้ อย่างไรก็ตาม มีผู้แสดงความคิดเห็นคัดค้านว่าตำนานนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง เนื่องจากรูปร่างของเพชรดิบสีน้ำเงินไม่เหมาะที่จะเป็นอัญมณีประดับที่พระเนตร(หรือพระนลาฏ) ของเทวรูปเลย แต่ไม่ว่าคำสาปแช่งจะมีอยู่จริงหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่จะได้เล่าต่อไปก็ล้วนชี้ให้เห็นว่าบรรดาเจ้าของเพชรอาถรรพ์ต่างก็ประสบชะตากรรมเลวร้ายทั้งสิ้น
หลังจากที่ตาแวร์นิเยร์เดินทางกลับประเทศฝรั่งเศส เขาได้ขายเพชรเม็ดใหญ่นี้ให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งราชวงศ์บูร์บอง ในปี 1668 และเมื่ออายุได้ 84 ปี ตาแวร์นิเยร์ก็เสียชีวิตอย่างลึกลับที่รัสเซีย โดยมีข่าวลือว่าเขาถูกหมาป่าฉีกร่างจนตาย นับเป็นการสังเวยครั้งแรกให้แก่อาถรรพ์เพชรโฮป พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซื้อเพชรจากตาแวร์นิเยร์ ด้วยราคาหลักล้าน เพชรถูกเจียระไนเป็นรูปหยดน้ำรูปทรงสามเหลี่ยมหนัก 67.5 กะรัต โดยนายเปเตออง (Petean) ช่างฝีมือเน้นเรื่องขนาดมากกว่าความงามของน้ำเพชร
ครั้งนี้พระองค์ทรงให้ตัดแบ่งเพชรออกเป็น 3 ส่วน ชิ้นแรกนั้นหายสาปสูญไป ส่วนอีกสองชิ้น ชิ้นหนึ่งได้รับการเจียระไนเป็นรูปหัวใจขนาด 67 1/8 กะรัต และใช้เป็นเพชรประดับประจำราชวงศ์ฝรั่งเศสมาอีกนับทศวรรษในชื่อ "เพชรมงกุฏสีน้ำเงิน" (Blue diamond of the crown) หรือ "สีน้ำเงินแห่งฝรั่งเศส" (French Blue) ซึ่งในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นเพชรโฮป ส่วนเพชรชิ้นสุดท้ายไม่มีหลักฐานแน่ชัดแต่เชื่อว่าคือเพชรที่เรียกว่า "บรันสวิก บลู " เคราะห์กรรมของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กับพระนางมารีอังตัวเน็ตนั้นมีชื่อเสียงเกินพอจนไม่มีอะไรจะให้พูดถึง และมีการกล่าวว่าเจ้าหญิงซึ่งเคยยืมเพชรเม็ดนี้จากพระนางมารีอังตัวเน็ตมาใส่บ่อยๆก็ถูกประชาชนรุมฆ่าตายอย่างทารุณ เวลาผ่านไป
ความโชคร้ายก็เริ่มคืบคลานเข้าครอบงำสมาชิกราชวงศ์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับเพชรทีละน้อย เสนาบดีคลัง นิโคลัส ฟูเก ที่เคยหยิบยืมเพชรไปใส่ ในที่สุดก็ต้องออกจากตำแหน่ง ทั้งยังต้องโทษติดคุก แต่ที่ร้ายไปกว่านั้น คือชะตากรรมของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินีมารี อังตัวเนตต์ที่ได้รับสืบทอดเพชรแห่งหายนะ ทั้งสองพระองค์ถูกตัดพระเศียรด้วยกิโยตินอย่างน่าสยดสยอง ดังที่จารึกอยู่ในประวัติศาสตร์การปฏิวัติอันนองเลือดของฝรั่งเศสในปีคริสตศักราช 1789 และบางส่วนของเพชรมรณะเม็ดนี้ก็ได้หายสาปสูญไปในเหตุการณ์วุ่นวายครั้งนี้ด้วย ปี 1792 ระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส มีกลุ่มหัวขโมยบุกเข้าปล้นเพชรบางส่วนที่เหลืออยู่จากราชวังที่ปิดตายอยู่ ในระหว่างนี้เพชรถูกตัดให้เล็กลงอีกเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยที่มาจนเหลือขนาด 44.50 กะรัต คนรักของพระองค์ที่ได้รับเพชรเม็ดนี้เป็นของขวัญก็ถูกขับออกจากราชสำนักในภายหลังเนื่องจากวางแผนจะวางยาพิษราชินี คือ มาดาม เดอ มงเตสปอง (Madam de Montespan) นางกลายเป็นที่เกลียดชังของราชสำนัก เพชรฝรั่งเศสสีน้ำเงินนี้ ได้หายไปในเดือนกันยายน ค.ศ. 1792 หลังจากการปล้นเพชรครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ที่คลังเก็บสมบัติแห่งชาติ (The National Garde Meuble) ใน ค.ศ. 1812


ต่อมาในปี 1813 ณ กรุง ลอนดอน นายหน้าค้าเพชรนาม ดาเนียล เอเลียสัน (Daniel Eliason) ได้เพชรสีน้ำเงินเม็ดหนึ่งขนาด 44 กะรัตมาไว้ในครอบครอง ถึงแม้รูปร่างลักษณะจะไม่เหมือนเดิม แต่ด้วยความงามที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นเชื่อกันว่า มันก็คือเพชรน้ำเงินแห่งฝรั่งเศสที่ถูกเปลี่ยนรูปร่างไปเพื่อให้สะดวกต่อการขนย้ายข้ามชาติอย่างลับๆ กล่าวกันว่าผู้ที่ทำการเจียระไนคือ วิลเฮล์ม ฟาลส์ (Wilhlem Fals) นักเจียระไนชาวฮอลแลนด์ก็มีจุดจบอย่างน่าเศร้า ถูกบุตรชายของตนเองขโมยเพชรล้ำค่าไปจนตรอมใจตาย ในขณะที่บุตรคนนั้นในภายหลังก็ได้ฆ่าตัวตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ มีหลักฐานจากบางแหล่งว่าพระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งราชวงศ์อังกฤษก็เป็นพระองค์หนึ่งที่เคยได้ครอบครองเพชรอาถรรพ์ และทางราชวงศ์ต้องขายมันไปเมื่อสิ้นพระชนม์เพื่อจ่ายหนี้ที่มีอยู่มหาศาล
จากนั้นเพชรก็ถูกเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ จนในปีคริสตศักราช 1939 เฮนรี ฟิลิปโฮป (Henry Philip Hope) เจ้าของมรดกบริษัทการธนาคารก็ซื้อเพชรสีน้ำเงินเม็ดนี้ไว้ เพชรมงกุฏแห่งฝรั่งเศสจึงได้กลายเป็นเพชรประจำตระกูลโฮป และได้ชื่อว่า "เพชรโฮป" นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลอร์ดฟรานซิส เพลแฮม คลินตัน โฮป (Lord Francis Pelham Clinton Hope) ซึ่งได้เป็นเจ้าของเพชรของพ่อของเขา ท้ายที่สุดแล้วกลับล้มละลายและเพชรก็ได้หายไปอีกครั้งหนึ่ง (ภายหลังเมย์ภรรยาเก่าหย่ากับฟรานซิสและใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นไปจนเสียชีวิต เธอกล่าวว่าเคราะห์ร้ายของตัวเองเป็นเพราะโฮปไดอามอนด์) หลังจากถูกขโมย เพชรถูกขายให้กับช่างเจียระไนเพชรในอัมสเตอร์ดัมส์ ซึ่งลูกชายของช่างที่ขโมยออกมาขายก็เกิดคลุ้มคลั่งจนฆ่าตัวตายไป ส่วนเอเรียสันนั้นถูกกล่าวว่าตกม้าตายหลังจากซื้อเพชรมาไว้ในครอบครอง

ฟรานซิสล้มละลาย จึงขายเพชรต่อให้กับพ่อค้าเพชรในลอนดอนชื่ออดอฟล์ เวล เป็นเงิน 29,000 ปอนด์ ซึ่งอดอฟล์ก็ขายต่อให้กับไซมอน แฟรงเกล พ่อค้าเพชรชาวอเมริกาอีกที อีกครั้งที่เพชรโฮปได้เดินทางไปทั่ว ผ่านพระหัตถ์ของเจ้าชายคานิตอฟสกีแห่งรัสเซีย ซึ่งทรงได้มอบเพชรเป็นของกำนัลแก่นางละครที่โฟลีส์ แบแย (Folies Bergere) คนเดียวกับที่พระองค์ทรงยิงจนเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันต่อมา ส่วนตัวเจ้าชายก็ถูกพวกกบฏแทงสิ้นพระชนม์ตามไปติดๆ ไปจนถึงชาวกรีกคนหนึ่งชื่อ ไซมอน มอนธะริเดส (Simon Montharides) ที่ซื้อเพชรโฮปไว้แต่ก็ต้องประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิตทั้งครอบครัว
ถึงปีคริสศักราช 1908 ปีแยร์ การ์ตีเย (Pierre Cartier) พ่อค้าเพชรชาวปารีส ได้ขายเพชรโฮปผ่านทางสุลต่านอับดุล-ฮามิด (Abdul - Hamid) เพชรตกเป็นของสุลต่านแห่งตุรกี อับดุล ฮามิดที่ 2 ไม่นาน อาณาจักรออสมันด์ล่มสลาย พระองค์จึงถูกเรียกว่าเป็น"ราชาที่ถูกเพชรสาป" แฟรงเกลขายเพชรให้กับโซโลมอน ฮาบิบ ชาวกรีก เป็นเงิน 400,000 ดอลล่าร์ ฮาบิบเอาเพชรออกขายในงานประมูลเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ และพ่อค้าเพชรโรสนัวก็เป็นผู้ซื้อไปก่อนจะขายให้กับปีแยร์ การ์ตีเย ในปี 1910 เป็นเงิน 550,000 ฟรัง และในปลายปีถัดมา นายฮาบิบ ก็เสียชีวิตจากเรืออัปปาง ที่ช่องริโอ

เพชรจึงถูกนำมาประมูลขายมาใช้หนี้ โดยปิแอร์ คาร์เทียร์เป็นผู้ได้เพชรเม็ดในปี 1950 เป็นเงิน 550,000 ฟรัง และปี 1911 จึงตกแต่งเพชรขายให้กับ วิลเลียม แมกลีน (William Mclean) ภรรยานายเอ็ดเวิร์ด แมคลีน (Edward Mclean) เจ้าของหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ แล้วเพชรเม็ดนี้ก็ถูกนำไปที่สหรัฐอเมริกา แมกลีน ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ซื้อเพชรมาด้วยราคา 154,000 ดอลลาร์สหรัฐ ภรรยาของแมกลีนต้องการให้พระทำพิธีขับไล่ผีในเพชรก่อน พิธีนี้จึงได้มีขึ้นและเธอก็ป่าวประกาศว่ามี "ฟ้าผ่าและฟ้าแลบในระหว่างพิธี" ด้วย หลังจากนั้นเธอจึงค่อยสวมใส่เพชรเม็ดนี้ โชคร้ายที่ดูเหมือนคำสาปในเพชรยังคงมีอยู่ ใน ค.ศ. 1918 ลูกชายของแมกลีนอายุ 9 ขวบ หลุดรอดจากการดูแลของบรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและถูกรถคันหนึ่งชนเสียชีวิต แมกลีนจึงดื่มเหล้าและหลังจากนั้นไม่กี่เดือนลูกสาวคนเดียวของพวกเขาก็ปลิดชีพตัวเองโดยใช้ยานอนหลับ
ใน ค.ศ. 1949 แฮร์รี วินสตัน (Harry Winston) พ่อค้าเพชรชาวนิวยอร์ก ได้ซื้อเพชรโฮปไปด้วยราคา 180,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำไปเพิ่มชุดสะสมส่วนตัวของเขา แม่ของแมคลีนเสียชีวิตหลังจากซื้อเพชรมาได้ไม่นานนัก ในไม่ช้าคนใช้ 2 คนก็เสียชีวิต ตามด้วยลูกชายวัย 10 ปีของเธออีกคน หลังเหตุการณ์นี้ เอวาลินหย่าจากเอ็ดวาร์ด ซึ่งตัวเอ็ดวาร์ดเอง หลังจากป่วยมีอาการทางจิตก็เข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตที่นั่น ลูกสาวเพียงคนเดียวของเอวาลีนตายเนื่องจากทานยานอนหลับเกินขนาด เอวาลีนพยายามแก้เคล็ดด้วยการไปอธิษฐานในโบสถ์ แต่ก็ไม่เป็นผลและต้องเสียครอบครัวทั้งหมดไป (ในความเป็นจริง ยังมีหลานอยู่รับกรรมสิทธิ์ต่อ) ใน ค.ศ. 1958 เอดนา วินสตัน (Edna Winston) ได้บริจาคเพชรเม็ดนี้ให้แก่สถาบันสมิทโซเนียนในกรุงวอชิงตัน ซึ่งเป็นที่ที่จัดแสดงเพชรจนปัจจุบัน

เป็นบทความที่คัดลอกมา

ใส่แหวนอย่างไรให้ถูกโฉลกกับวันเกิด !!!

จากเว็บ http://www.OneclickDiamond.com

เพราะชายหญิงมีธาตุที่แตกต่างกันจึงมีวิธีการที่แตกต่างกัน จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แหวนวงน้อยนี้ สามารถคุ้มครองผู้สวมใส่ได้เช่นกัน เรื่องนี้เป็นวัฒนธรรมที่มีมาแต่โบราณกาล อย่างที่ขุดได้ในกรุสมัยโบราณ ลองไปดูที่พิพิทธภัณฑ์เจ้าสามพระยาที่จังหวัดอยุธยา ก็จะมีแหวนหยกแหวนทองคำแท้และรัตนชาติต่างๆ รวมอยู่ด้วย สิ่งนี้เป็นหลักฐานพยานที่ดีอย่างยิ่ง ลองดูรายละเอียดต่อไปนี้


ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ >>


ท่านที่เกิดวันอาทิตย์ ผู้หญิงให้สวมแหวนมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายสวมแหวนมือข้างขวา ตัวเรือนควรทำจากทองแท้ เงินแท้หรือหยก ถึงจะส่งพลังดี ๆ ออกมาคุ้มครอง ในการสวมแหวน หากเป็นผู้ชายให้เน้นไปที่นิ้วกลางและนิ้วชี้ อันหมายถึงพลังอำนาจการปกครองและ วาสนาบารมี แต่หากจะสวมแหวนที่นิ้วหัวแม่มือก็ขอให้ดูตัวเองก่อน เพราะการสวมที่หัวแม่มือนั้น ต้องเป็นผู้มีเงินทองแบบหลงจู๊อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นจะเกินวาสนาตน ส่วนผู้หญิงก็ให้สวมมือซ้ายนิ้วนางหรือนิ้วกลาง ก็จะเสริมพลังของตัวเองให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ในการสวมแหวนหลายวงในนิ้วเดียวกันนั้น ไม่ควรทำ จะทำให้เกิดความผิดพลาดในเรื่องของความรักได้ง่าย ๆ


ผู้ที่เกิดวันจันทร์ >>


ท่านที่เกิดวันจันทร์ ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายให้สวมมือข้างขวา ตัวเรือนควรทำด้วยทองคำ เงิน นาค โลหะผสม หรือหินสีต่างๆก็ได้ แต่ควรเป็นแหวนที่วงค่อนข้างผอม บาง หัวแหวนเล็กๆ จึงจะสอดคล้องกับผู้ที่เกิดในวันจันทร์ ผู้ชายควรสวมแหวนเน้นไปที่นิ้วชี้ นิ้วนาง นิ้วกลางก็จะเสริมดวงและคุ้มครอง ห้ามสวมแหวนนิ้วก้อยและนิ้วหัวแม่มือเด็ดขาด ส่วนผู้หญิงก็ให้สวมที่นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย ก็จะเกิดความเจริญรุ่งเรือง สร้างพลังแห่งเมตตามหานิยมแก่เจ้าของ ไม่ควรสวมแหวนที่นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือ สามารถสวมแหวนซ้อนกันสองวงได้ แต่ถ้าเป็นสามวงซ้อนในนิ้วเดียวกันไม่ควรอย่างยิ่ง จะทำให้เกิดความผิดพลาด ในเรื่องของความรักได้ง่าย ๆ


ผู้ที่เกิดวันอังคาร >>


ท่านที่เกิดวันอังคาร ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายให้สวมนิ้วมือข้างขวา ตัวเรือนทำด้วยอะไรก็ได้ แต่ไม่ควรเป็นของที่แตกหักได้ ตัวแหวนควรค่อนข้างหนาสักหน่อยจึงจะดี หัวแหวนควรใหญ่เช่นกัน ก็จะสามารถเหนี่ยวนำความเจริญรุ่งเรืองได้ ผู้ชายควรสวมไว้ที่นิ้วกลางนิ้วชี้ ก็จะคุ้มครองผู้สวมใส่ ไม่ควรสวมแหวนนิ้วนางหรือนิ้วก้อยจะทำให้ไม่มีพลัง ส่วนผู้หญิงควรสวมแหวนที่นิ้วกลางนิ้วชี้และนิ้วนางเท่านั้น ก็จะส่งพลังคุ้มครองในทุกเรื่อง ไม่ควรสวมแหวนที่นิ้วก้อย จะทำให้เสียพลังที่เข้มแข็ง ที่สำคัญการสวมแหวนซ้อนกันหลายวงในนิ้วเดียวกันสามารถทำได้ ไม่ได้ทำให้เกิดการสูญเสียหรือมีผลใด ๆ ในเรื่องของความรัก


ผู้ที่เกิดวันพุธ >>


ท่านที่เกิดวันพุธ ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายให้สวมที่นิ้วมือข้างขวา ตัวเรือนควรทำด้วยวัสดุธรรมชาติอย่าง ทอง เงินหรือหยก ตัวแหวนควรพอดีกับนิ้ว ไม่ควรหนาหรือบางจนเกินไป หัวแหวนควรทำด้วยรัตนชาติแท้ หรือทำเป็นรูปเหลี่ยมๆ จะสามารถเพิ่มพลังของความเจริญรุ่งเรืองได้ ผู้ชายควรสวมแหวนไว้ที่นิ้วชี้ นิ้วกลางหรือนิ้วนางก็ได้ หรือจะใส่ที่นิ้วหัวแม่มือก็ได้เช่นกัน ส่วนผู้หญิงควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลางหรือนิ้วนาง ก็จะสามารถคุ้มครองได้ในทุกๆ เรื่อง นอกจากนี้ยังสามารถสวมแหวนหลายวง หลายนิ้วพร้อมกันได้ หรือจะซ้อนในนิ้วเดียวกันหลายวงก็ได้ ไม่ได้ทำให้เกิดผลเสียในเรื่องของความรักอย่างแน่นอน


ผู้ที่เกิดวันพฤหัส >>


ท่านที่เกิดวันพฤหัส ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายสวมที่นิ้วมือข้างขวา ตัวเรือนทำด้วยวัสดุธรรมชาติอย่าง ทองคำ เงินหรือทองคำขาว ตัวแหวนควรพอดีกับนิ้ว หรือค่อนข้างใหญ่หน่อยก็ยังดี หัวแหวนควรทำด้วยรัตนชาติแท้ แต่ควรจะมีประกายส่องสว่าง ถึงจะสามารถเพิ่มพลังของความเจริญรุ่งเรืองได้ ผู้ชายควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลางหรือนิ้วนางก็ได้ หรือจะใส่ที่นิ้วหัวแม่มือก็ได้เช่นกัน แต่ไม่ควรสวมแหวนนิ้วก้อย ส่วนผู้หญิงควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลางหรือนิ้วนาง ก็จะสามารถคุ้มครองได้ในทุกๆเรื่อง นอกจากนี้ไม่ควรสวมแหวนพร้อมกันหลายวง จะทำให้เสียพลังในเรื่องของความรัก เปรียบเหมือนการมีรักซ้อนซ่อนรัก


ผู้ที่เกิดวันศุกร์ >>


ท่านที่เกิดวันศุกร์ ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายสวมที่นิ้วมือขวา ตัวเรือนควรทำด้วยวัสดุธรรมชาติอย่าง ทองคำ เงินหรือทำจากหิน ตัวแหวนควรมีลักษณะเป็นแฟชั่นหยักๆ หรือเป็นคลื่น หัวแหวนควรมีสีสัน หรือเป็นแหวนหลายหัวก็ได้ จะสามารถเพิ่มพลังของความเจริญรุ่งเรืองได้ ผู้ชายควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง หรือนิ้วก้อย หรือจะใส่ที่นิ้วหัวแม่มือก็ได้เช่นกัน ส่วนผู้หญิงสามารถสวมแหวนนิ้วไหนก็ได้ในทุกนิ้ว จะสามารถคุ้มครองได้ในทุกๆ เรื่อง แต่การสวมแหวนซ้อนกันมากจนเกินไป จะทำให้เสียพลังในเรื่องของความรัก เปรียบเหมือนการมีรักซ้อนซ่อนรัก หรือจะกลายเป็นคนที่รักอิสระจนเกินกว่าจะควบคุมได้


ผู้ที่เกิดวันเสาร์ >>


ท่านที่เกิดวันเสาร์ ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายสวมที่นิ้วมือขวา ตัวเรือนควรทำด้วยวัสดุธรรมชาติอย่าง ทองคำ เงินหรือหิน ตัวแหวนควรมีความพอดีกับนิ้ว หรือค่อนข้างใหญ่หน่อยก็ยังดี หัวแหวนควรทำด้วยรัตนชาติแท้ แต่ควรจะมีสีค่อนข้างเข้ม จะสามารถเพิ่มพลังของความเจริญรุ่งเรืองได้ ผู้ชายควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลาง หรือจะใส่ที่นิ้วหัวแม่มือก็ได้เช่นกัน แต่ไม่ควรสวมแหวนที่นิ้วก้อยหรือนิ้วนาง จะเสียพลังในการคุ้มครอง ส่วนผู้หญิง ควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลางหรือนิ้วนางก็จะสามารถคุ้มครองได้ในทุกๆเรื่อง นอกจากนี้ไม่ควรสวมแหวนพร้อมกันหลายวง จะทำให้เสียพลังในเรื่องของความรัก เปรียบเหมือนการมีรักซ้อนซ่อนรัก
เป็นบทความที่คัดลอกมาค่ะ

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

ทำไมต้อง กะรัต เมื่อวัดน้ำหนักเพชร

จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

น้ำหนัก (Carat)

หน่วยวัดน้ำหนักเพชรคือ กะรัต ซ่งเป็นคำเพี้ยนมาจากคำว่า แคร็อบ (carob) อันเป็นเมล็ดของต้นไม้ชนิดหนึ่งที่พบได้ในประเทศแอฟริกาใต้ ฝักคล้ายมะขาม ที่น่าประหลาดคือเมล็ดข้างในแทบทุกเม็ดมีน้ำหนักใกล้เคียงกัน พ่อค้าสมัยก่อนจึงใช้เป็นเสมือนลูกตุ้มน้ำหนัก ใช้ในการซื้อขายเพชร

น้ำหนักของเพชรจะวัดเป็นกะรัต หนึ่งกะรัต หนัก 0.2 กรัม แบ่งออกเป็น 100 สตางค์ดังนั้นเพชรขนาด 0.75 กะรัตจึงมีน้ำหนักเท่ากับ 75 สตางค์ ขนาดกะรัตเป็นตัวตัดสินมูลค่าของเพชรที่เด่นชัดที่สุดแต่สิ่งที่ควรระลึกไว้เสมอก็คือเพชรสองเม็ดที่มีขนาดกะรัตเท่ากันอาจมีมูลค่าแตกต่างกันอย่างมากก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเจียระไน สีและความสะอาด

เพชรที่มีน้ำหนักตัวมาก ราคาต่อกะรัตจะแพงกว่าเม็ดที่มีน้ำหนักน้อยกว่า โดยความแตกต่างของราคากับน้ำหนัก ไม่ได้วิ่งเป็นกราฟเส้นตรง เช่น เพชรหนึ่งกะรัตหนึ่งเม็ด ราคาจะมากกว่าเพชรครึ่งกะรัตสองเม็ดในคุณภาพที่เท่ากัน เหตุผลหลักคือ เพชรเม็ดใหญ่กว่าหายากกว่า และน้ำหนักเพชรที่เหลือหลังจากการเจียระไน มักจะน้อยกว่าน้ำหนักตั้งต้น 50-70 %

น้ำหนัก มูลค่าที่สร้างความแตกต่าง

ในวงการค้าเพชร เมื่อพ่อค้าพูดถึงขนาดของเพชร มักจะหมายถึงน้ำหนักซึ่งมีหน่วยเป็นกะรัตมีปีคริสตศักราช 1913 มีการกำหนดมาตรฐานหน่วยน้ำหนัก 1 กะรัต ให้มีค่าเท่ากับ 0.2 กรัม หรือ 100 พอยต์สำหรับคนไทยจะเรียกน้ำหนักเป็นหน่วย กะรัต และหน่วยที่ต่ำกว่ากะรัตจะเรียกว่า สตางค์ โดย 1 กะรัต มีค่าเท่ากับ 100 สตางค์ ตัวอย่าง : เพชรน้ำหนัก 50 สตางค์ เท่ากับ 0.50 กะรัต

ในสหรัฐอเมริกา มีการใช้คำว่ากะรัตที่สะกดด้วยพยัญชนะภาษาอังกฤษว่า “KARAT” เพื่อบ่งบอกถึงปริมาณความบริสุทธิ์ของทองคำ เช่น 24 karat , 14 karat เป็นต้น ส่วนคำว่า กะรัตที่สะกดด้วยพยัญชนะภาษาอังกฤษว่า “CARAT” จะใช้เพื่อบ่งบอกน้ำหนักของอัญมณี

การประเมินคุณค่าเพชรในเรื่องน้ำหนักเป็นเรื่องที่ทำใด้ง่ายโดยเฉพาะสำหรับเพชรรูปทรงกลมเหลี่ยมเกสร เนื่องจากมีการศึกษาอย่างต่อเนื่องมานานทำให้ได้ค่าที่เหมาะสมระหว่างน้ำหนัก (กะรัต) กับขนาด (มิลลิเมตร) ที่มีความสัมพันธ์แต่ในความเป็นจริงแล้วพบว่า เพชรที่ผ่านการเจียระไนจำนวนมากมีน้ำหนักกับขนาดที่ไม่สัมพันธ์กัน ซึ่งถ้ามีความแตกต่างกันมากก็แสดงว่าเพชรเม็ดนั้นมีการเจียระไนที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจเป็นผลต่อเนื่องจากการเจียระไนที่ไม่ได้สัดส่วน โดยอาจมีสาเหตุจากรูปทรงของผลึกเพชรที่ไม่สมบูรณ์ หรือการที่ช่างเจียรพยายามเจียระไนเพื่อรักษาน้ำหนักเพชรให้ได้มากที่สุด หรือเป็นเพราะต้องเจียรหลบเลี่ยงตำหนิของเพชรนั่นเอง

น้ำหนักเพชรที่เท่ากันอาจจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่วัดเป็นหน่วยมิลลิเมตรไม่เท่ากัน โดยบางเม็ดอาจมีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่า แต่มีความสูงที่ต่ำกว่าอีกเม็ด ขณะเดียวกันเพชรที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่เท่ากันก็อาจจะมีน้ำหนักที่ต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับความหนาของเกอร์เดิลและความสูงของเพชร

น้ำหนักของเพชรมีผลต่อราคาเป็นอย่างมาก เนื่องจากความหายากของเพชรต่อเม็ดที่มีขนาดใหญ่ ทำให้ราคาของน้ำหนักเพชรต่อเม็ด มีมูลค่ามากกว่าน้ำหนักเพชรเม็ดเล็ก ๆ มารวมกัน เช่น เพชรน้ำหนัก 25 สตางค์ จำนวน 2 เม็ดรวมกันจะมีมูลค่าน้อยกว่าเพชรน้ำหนัก 50 สตางค์จำนวน 1 เม็ด
เป็นบทความที่คัดลอกมาค่ะ

การเจียระไนเพชร (cutting)

จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

การเจียระไนเพชร (cutting)

ประวัติการเจียรระไนในอดีตนั้น อินเดียเป็นชาติแรกที่รู้จักการเจียรระไนเพชร แต่ไม่มีชื่อเสียง ในเรื่องความสวยงาม เพราะอินเดียนิยมเจียรระไนให้ได้เนื้อเพชรมากๆ โดยไม่คำนึงถึงการกระจายแสงหรือประกายไฟ หลังจากนั้นหลายๆประเทศได้มีวิวัฒนาการรูปแบบการเจียรระไน ให้ดีขึ้นมาเรื่อยๆ เพือให้เพชรมีการเล่นแสงให้ได้มากที่สุด รวมทั้งรักษาน้ำหนักที่เสียไปจากการเจียรระไนให้น้อยที่สุด ทำให้เพชรที่เจียรระไนรุ่นใหม่ มีคุณภาพดีกว่าการเจียรระไนแบบเก่า จนได้รูปแบบการเจียรระไนเพชรที่ได้รับความนิยมใช้กันถึงปัจจุบัน คือการเจียรรูปทรงกลมเหลี่ยมเกสร (round brilliant cut) ซึ่งมี 58 เหลี่ยม ราคาเพชรรุ่นใหม่จึงมีราคาสูงกว่าการเจียรแบบเก่าๆ


การเจียรระไนเพชรทำได้หลายแบบ :


ทรงกลม (round brilliant cut) เป็นการเจียรระไนเพชรทรงเหลี่ยมเกสรซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน
ทรงแฟนซี เช่น ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส หรือสี่เหลี่ยมพริ้นเซส (Princess cut) สี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือสี่เหลี่ยมมรกต (Emeral cut) ทรงไข่ (Oval) ทรงหัวใจ (Heart) ทรงเม็ดข้าว ( Marquoise) หรือทรงหยดน้ำ (Pearl)

องค์ประกอบของความสวยงามในการเจียรระไน :
  • การผ่านแสง (Transparent)
  • ประกายแสง (Brilliance)
  • การกระจายแสง (Dispersion)
  • ความระยิบระยับ (Scintillation)

  • ความวาว (Luster)

ในการพิจารณาว่าเพชรเม็ดนั้นเจียระไนดีหรือไม่นั้นต้องพิจารณาจาก 3 องค์ประกอบ:

ขนาดเทเบิล (Table Size) ที่ใหญ่หรือเล็กเกินไปจะมีผลต่อการกระจายแสงของเพชร

มุมคราวน์ (Crown Height) ที่มีความสูงไม่สมดุลกับมุมสะท้อนแสงจะมีส่วนทำให้การกระจายแสงลดน้อย

ความลึกพาวิเลี่ยน (Pavilion Dept) ที่มีการเจียระไนที่ดี แสงจะสะท้อนขึ้นทุกมุม ทำให้การกระจายแสงดี แต่ถ้าเจียระไนบางเกินไปแสงจะทะลุออกด้านล่างหรือถ้าเจียระไนหนาเกินไปจะทำให้ไม่มีแสงสะท้อนทำให้เพชรจะดูมืด (Nail Head)

ซึ่งค่าทั้งหมดจะถูกตรวจสอบโดยนักอัญมณีศาสตร์และบันทึกผลที่ได้ลงใน Certificates ซึ่งผลที่ได้ทั้งหมดจะนำมาสรุปเพื่อให้เข้าใจง่ายต่อบุคคลทั่วไป โดยจะเรียงลำดับจาก เจียระไนดีมาก (Very Good), เจียระไนดี (Good), เจียระไนพอใช้(Fair)
การเจียระไน เป็นคุณภาพเดียวของเพชรที่ควบคุมได้โดยฝีมือคนถือเป็นหัวใจของคุณภาพส่วนรวมของเพชร เพราะวัตถุประสงค์หลักของการเจียระไน คือ การนำลักษณะที่ดีของเพชรออกมาเปล่งประกายให้มากที่สุดเพชรทั่ยังไม่ผ่านการเจียระไน มีผิวมัวคล้ายฉาบด้วยน้ำมัน คล้ายก้อนหินทั่วๆไป แต่เมื่อนำมาเชียระไนแล้วจึงเปล่งประกายดังนั้น ถึงแม้ว่าเพชรเนื้อใสสะอาดเพียงใด มีสีสวยเพียงใด แต่ถ้าเจียระไนนั้นไม่ได้สัดส่วนที่ถูกต้อง ย่อมทำให้คุณภาพด้อยลงไปอย่างน่าเสียดาย
ช่างเจียระไนเพชรที่ดีต้องพิจารณาจากรูปร่างก้อนเพชรว่าจะตัดแนวใดและเจียระไนรูปแบบใด จึงจะเปล่งประกายมากที่สุด และรักษาน้ำหนักได้มากที่สุด ช่างเจียระไนเพชรที่ดีจะรักษาคุณภาพมากกว่ารักษาน้ำหนักเพราะถึงแม้ว่าเพชรจะมีน้ำหนักมาก แต่ถ้าสูญเสียประกาย ย่อมมีมูลค่าลดลง

เป็นบทความที่คัดลอกมาค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

มารู้จักเหลี่ยมเพชร Heart & Arrow กันดีกว่า

จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

เพชร Hearts &Arrows (H&A) เพชรกลมระดับโลกที่เจียระไนได้สัดส่วนสมบูรณ์แบบที่สุด

เอกลักษณ์ของเพชร คือ การเล่นแสง เพชรที่ดีจะก่อให้เกิดประกายที่สวยงาม ที่เราเรียกว่า "น้ำ" เพชรน้ำดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับ การเล่นแสงของเพชร ยิ่งเพชรสะท้อนแสงได้มากเท่าไหร่ เพชรยิ่งสวยงามมากขึ้นเท่านั้น

Hearts & Arrows คืออะไร
Hearts & Arrows คือ เพชรกลม (Round Brillant) ที่ได้รับการเจียระไนอย่างได้สัดส่วนสมบูรณ์แบบที่สุดในโลก โดยทุกเหลี่ยมเพชร (Facet) ทำมุมองศาและสัดส่วน ในตำแหน่งที่ถูกต้องไม่คลาดเคลื่อน ทำให้เกิดความสมดุลระหว่างความสุกใสส่องสว่าง (Brilliance, การสะท้อนกลับของแสงสู่ตา ) และการกระจายแสงของเพชร (Dispersion) หรือไฟนั่นเอง โดยเมื่อมองผ่านกล้อง Hearts & Arrows Loope จะเห็นภาพลูกศร 8 ดอก ขนาดเท่า ๆ กัน เรียงเป็นวงกลม บนด้านหน้าหรือ เทเบิล และเมื่อมองจากทางก้นเพชรหรือพาวิลเลียน จะเห็นเป็นรูปหัวใจ 8 ดวง เรียงกันเป็นวงกลมเช่นกัน
เพชร Hearts & Arrows แตกต่างจากเพชรอื่น ๆ ตรงความสมบูรณ์แบบ ที่คุณสามารถมองเห็นและสัมผัสได้

สัดส่วนที่สมบูรณ์แบบ
สัดส่วนของเพชรนั้นส่งผลต่อการกระจายแสงของเพชร โดยเพชรที่เจียระไนตื้นและมีหน้ากว้างไป หรือเจียรไนลึกและแคบไปนั้นจะทำให้แสงออกด้านข้าง และด้านล่างของเพชรทำให้เพชรเสียความสุกสว่าง และการส่องประกาย ซึ่งเพชร Hearts & Arrows นั้นถูกเจียรไนให้ได้สัดส่วนสมบูรณ์แบบที่สุด ทำให้เพชรนั้นเล่นแสงและเปล่งประกายได้มากที่สุดเท่าที่เพชรจะสามารถส่องประกายได้

รูปสัญญลักษณ์ลูกศร 8 ดอก และหัวใจ 8 ดวง นั้นมีความหมายลึกซึ้งควรค่าแก่การครอบครองเป็นยิ่งนักโดยประเทศในเอเชีย นั้นเชื่อว่า เพชร Hearts & Arrows เป็น "The Stone of Luck" (อัญมณีแห่งความโชคดี) ส่วนประเทศฝั่งตะวันตก เช่นยุโรปและสหรัฐอเมริกานั้น เรียกเพชรนี้ว่า "The Proof of Love" (สัญญลักษณ์แห่งความรัก)

***** เชิญเลือกซื้อเพชร Heart & Arrow ของ http://www.oneclickdiamond.com/ ได้เลยค่ะ
เป็นบทความที่คัดลอกมาค่ะ

วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553

วิธีดูว่าเป็นเพชรแท้ หรือเพชรเทียม ดูอย่างไร

จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

เดี่ยวนี้ร้านเพชรมีมากมาย ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ จะเห็นบูธขายเพชรเต็มไปหมด หลากหลายแบรนด์ หลากหลายดีไซน์ สาวๆ ที่ยังไม่คุ้นเคยกับเพชร คงเริ่มกังวลว่าหากจะซื้ออย่างไรเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นเพชรแท้ คุณภาพดี เหมาะสมกับเงินที่จ่ายไปเรามาศึกษากันก่อนดีมั๊ยค่ะ ขั้นตอนแรกก็ต้องตรวจสอบ ว่าเป็นเพชรแท้ หรือเพชรเทียม มาดูกันเลย

1. ดูค่าความถ่วงจำเพาะ ด้วยวิธีการหย่อนเพชรลงในน้ำยามาตรฐาน ที่มีความถ่วงจำเพาะ 3.52 ถ้าเป็นเพชรแท้จะลอยปริ่มระดับ เดียวกับน้ำยา หากเป็นเพชรเทียมส่วนมากจะจม แต่วิธีนี้ใช้ไม่ได้กับเพชรเทียมที่เป็นพวกแก้ว เช่น โทแพซ(Topaz) ควอร์ทซ(Quartz) ซินเทติก แซฟไฟเออะ(Synthetic Sapphire) เพราะค่าความถ่วงจำเพาะของสิ่งเหล่านี้ใกล้เคียงเพชรแท้มาก

2. ดูค่าดัชนีหักเห ด้วยวิธีการหย่อนเพชรลงในน้ำยามาตรฐานที่มีค่าดัชนีหักเห 1.743 ถ้าเป็นสารที่มีค่าดัชนีหักเหสูงกว่านี้จะมองเห็นประกายในน้ำยา แต่ถ้าสารนั้นมีดัชนีหักเหต่ำกว่าจะมองไม่เห็นประการ เพชรเทียมส่วน มากมีค่าดัชนีหักเหสูงกว่านี้ยกเว้นเพชรเทียมที่ทำจากแก้ว เช่นโทแพซ (Topaz) ควอร์ทซ (Quartz) ซินเทติกแซฟไฟเออะ(Synthetic Sapphire)

3. ดูความแข็ง วิธีนี้เป็นวิธีที่ให้ผลแน่นอนเนื่องจากเพชรแท้เมื่อถูกอัญมณีตระกูลคอรันดับขีดบนหน้าผลึกแล้วจะต้องไม่เป็นรอยแต่ถ้านำไป ขีดบนเพชรเทียมชนิดอื่นๆ จะเห็นรอยขีดซึ่งรอยขีดจะชัดเจนแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับความแข็งของเพชรเทียมชนิดนั้นๆ

4. ทดสอบการนำความร้อน โดยการใช้เครื่องมือตรวจสอบการนำความร้อน ซึ่งใช้แยกเพชรแท้ออกจากเพชรเทียมเครื่องมือนี้เรียกว่า เทอร์มอลคอนดัคทิวิตี้โพรบ(Themal conductivity probe)ซึ่งสามารถพกพาได้สะดวกใช้ได้กับเพชรทุกขนาด และมีความรวดเร็วในการตรวจสอบ

***** สินค้าของ http://www.oneclickdiamond.com/ เป็นเพชรแท้ 100 % สามารถตรวจสอบได้

เป็นบทความที่คัดลอกมาค่ะ

วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

การดูแลรักษาเครื่องประดับเพชรอย่างถูกวิธี มีนิดเดียว

จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

วิธีทำความสะอาด ลองทำกันดูนะคะ
- ผสมน้ำยาซึ่งมีส่วนผสมของแอมโมเนีย ผงซักฟอก และน้ำอุ่น หรือจะ ใช้สบู่เหลวเล็กๆ ผสมกับน้ำอุ่นในอ่างขนาดเล็ก
- นำเพชรที่ต้องการทำความสะอาดแช่ในน้ำยาสักพัก
- ใช้แปรงขนอ่อนแปรงเพชรเบาๆ จนแน่ในว่าสิ่งสกปรกหลุดออกจนหมด
- นำเพชรวางลงบนตะแกรงลวดแล้วใช้น้ำอุ่นเทราดเพื่อชะล้างน้ำยาให้หมด
- ใช้ผ้าเนื้อนุ่มไม่มีขุยซับเพชรให้แห้ง นอกจากนี้ ยังมีเคล็ดลับในการดูแลรักษาและทำความสะอาาดสำหรับผู้ที่สวมใส่เพชรเป็นประจำ เพื่อให้เครื่องประดับเพชรราคาแพงเป็นสมบัติล้ำค่าต่อไปอีกนานเท่านาน
- อย่าสวมแหวนเพชรขณะทำงานหนักหรือทำกิจกรรมที่สมบุกสมบัน และอย่าให้เครื่องประดับเพชรถูกน้ำยาเคมีที่ใช้ในบ้าน เช่น น้ำยาซักผ้า น้ำยาเช็ดกระจก น้ำยาทำความสะอาดพื้น ถึงแม้ว่ายาเหล่านี้จะไม่มีผลต่อเพชร แต่อาจทำให้ตัวเรือนเปลี่ยนสีหรือชำรุดได้
- การใช้น้ำยาสเปรย์ผม เครื่องสำอาง ครีมทาหน้า และน้ำหอม อาจทำให้เพชรมีสีหมอง ขาดประกายแวววาว จึงควรใส่เครื่องเพชรหลังการสเปรย์ผม และใช้เครื่องสำอางเสร็จแล้ว
- เก็บเครื่องประดับในที่สะอาดและแห้ง - เก็บเครื่องประดับในกล่องที่บุด้วยผ้า หรือกล่องที่แบ่งเป็นช่องๆ หากต้องใช้กล่องธรรมดา ควรใช้กระดาษเนื้อนิ่ม เช่น กระดาษเช็ดหน้า ห่อเครื่องประดับแต่ละชิ้นโดยแยกจากกัน เพื่อป้องกันเครื่องประดับเสียดสีกันเองจนทำให้เกิดรอย
- เมื่อต้องถอดเครื่องประดับออกขณะล้ามือ อย่าวางเครื่องประดับทิ้งไว้บริเวณขอบอ่างล้างมือ เพราะเครื่องประดับมีโอกาสหล่นลงไปในท่อน้ำได้ง่าย
- นำเครื่องประดับไปตรวจสอบสภาพที่ร้านเครื่องประดับอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อตรวจดูว่ามีการเสื่อมสภาพอันเกิดจากการใช้งาน เช่น หนามเตยหลวม ตัวเรือนเป็นรอยบุ๋ม หรือมีรอยขีดข่วนต่างๆ หรือไม่และให้ร้านเครื่องประดับทำความสะอาดเครื่องประดับทุก 6 เดือน
- เครื่องทำความสะอาดเครื่องประดับขนาดเล็กในท้องตลาดมีหลายชนิด สามารถใช้คลื่นเสียงความถี่สูงทำความสะอาดได้ในเวลาไม่กี่นาที เครื่องทำความสะอาดประเภทนี้เรียกว่า เครื่องทำความสะอาดแบบอัลตราโซนิก (Ultrasonic Cleaners) ซึ่งมีหลายรุ่นและหลายระดับราคาให้เลือกใช้
เป็นบทความที่คัดลอกมาค่ะ

วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

รูปทรงของเพชรสะท้อนความเป็นคุณ

จากเว็บ http://www.OneclickDiamond.com/

คมชัดลึก : สำหรับสาวๆ แล้ว หากให้เลือกเครื่องประดับชิ้นงามสักชิ้น คงไม่มีใครปฏิเสธที่จะเลือก “เพชร” เพราะเป็นอัญมณีที่ สาวๆ ทุกคนใฝ่ฝันอยากจะครอบครอง เราลองมาสำรวจกันสักนิดสิว่า เพชรในแต่ละรูปทรง บ่งบอกและสะท้อนบุคลิกสาวๆ อย่างไรกันบ้าง เริ่มจาก
  • เพชรทรงกลม ด้วยความที่เป็นเพชรรูปทรงคลาสสิก จึงเป็นที่นิยมของผู้หญิงจำนวนมาก ซึ่งเพชรทรงกลมนี้ สื่อถึง ความโรแมนติก และความสื่อสัตย์ เ
  • พชรเหลี่ยม เพชรแห่งความหรูหรา ทำให้ผู้ที่ประดับกายด้วยเพชรรูปทรงนี้ ดูดี มีเสน่ห์ดึง ดูดใจ แลดูเป็นหญิงสาวที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง มีความเป็นผู้นำ กล้าได้กล้าเสีย
  • เพชรเหลี่ยมมรกต เพชรที่สวยงามตลอดกาล สื่อถึงความสงบ สง่างามสมกับเป็นผู้ดี มีใจกว้างขวาง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
  • เพชรรูปไข่ รูปทรงไข่สื่อถึงความเป็นผู้หญิง เป็นที่รักของเด็กๆ มีความมั่นคง ซื่อสัตย์ และสาวที่ช่างคิดสร้างสรรค์
  • เพชรรูป หยดน้ำ บ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมีความมั่นใจ แฝงไปด้วยเสน่ห์ และโรแมนติก ในทางตรงกันข้าม เธออาจ จะเป็นสาวเจ้าน้ำตา ขี้สงสาร ได้ในบางครั้ง
  • เพชรรูปหัวใจ “หัวใจ” สัญลักษณ์ของ ความรักแท้ หวานโรแมนติก และ
  • เพชรมาควิซ บ่งบอกถึงความมั่งคั่ง เลิศ หรูหรา สง่างาม

เป็นบทความที่คัดลอกมาค่ะ

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

การเปรียบเทียบน้ำหนักทอง


จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

ทองคำบริสุทธิ์ 99.99%
ทองคำ 1 กิโลกรัม = 32.1508 ออนซ์
ทองคำ 1 ออนซ์ = 31.104 กรัม

ทองคำบริสุทธิ์ 96.5% (มาตรฐานใประเทศไทย)
ทองรูปพรรณ น้ำหนัก 1 บาท = 15.16 กรัม
ทองคำแท่ง น้ำหนัก 1 บาท = 15.244 กรัม

% ทองคำ
*** ทองคำบริสุทธิ์เต็ม 100 % นั้น ไม่สามารถทำได้ จะถลุงให้บริสุทธิ์ได้เต็มที่ 99.99% เท่านั้น
*** คำว่า กะรัต (KARAT ) เป็นการแสดงถึงเปอร์เซนต์ทองคำ โดยมีข้อกำหนดเป็นอัตราส่วน ดังนี้

ทองคำ 24 กะรัต (K ) = 100 %
ทองคำ 22 กะรัต (K ) = 90 %
ทองคำ 18 กะรัต (K ) = 75 %
ทองคำ 14 กะรัต (K ) = 58 %

เป็นบทความที่คัดลอกมาค่ะ

วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

แนะนำวิธีเลือกซื้อเพชร


จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

หลักในการพิจารณาเลือกซื้อเพชร

เพชร เป็นอัญมณีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและนับว่าเป็นอัญมณีที่มีค่ายิ่งเพราะมีความสวยงามแฝง ไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่ทำทุกคนต่างหลงไหล เพชรแต่ละเม็ดนั้นจะถือได้ว่าเป็นเม็ดเดียวในโลกก็ว่า ได้ เพราะจะไม่มีเพชรเม็ดใดที่เหมือนกันอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ผ่านการเจียระไนขึ้นรูปและ มีเหลี่ยมมุมที่ต่างกันก็ยิ่งทำให้ยากต่อการตัดสินใจที่จะเลือกซื้อ ในปัจจุบันเพชรมีทั้งเพชรตามธรรมชาติ และเพชรเทียมที่ถูกสังเคราะห์ ซึ่งหากผู้ที่ไม่มีความรู้ หรือไม่มีความชำนาญในการตรวจสอบเพชรก็อาจไม่สามารถแยกได้เลยว่าเม็ดใดเป็น ของแท้หรือของเทียมจึงทำให้การเลือกซื้อยากยิ่งขึ้นไปอีก ควรศึกษาข้อแนะนำเบื้องต้นด้านล่างดังต่อไปนี้

1.สี (Color) เพชรจะมีสีตามธรรมชาติหลากหลายเฉดสี ตั้งแต่ขาวใสไร้สีไปถึงสีเหลืองอ่อน สีน้ำเงิน สีชมพู ฯลฯ เป็นต้น เพชรที่มีสีใสไร้สิ่งบนเปื้อนจะมีราคาแพงกว่าเพชรสีอื่นๆ จะเห็นได้ว่าสีของเพชรมีผลกระทบต่อราคาในปัจจุบันจึงได้มีการกำหนดวิธีการเทียบสีเพชร แต่การเทียบสีเพชรใช้เทียบเฉพาะเพชรสีขาวใสไปจนถึงเพชรที่มีสีเหลืองปะปนเท่านั้น เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการแยกสีเพชรก็คือแสง แสงที่ใช้คือแสงจากหลอดฟลูโอเรสเซนส์และแสงจากหลอดคลื่นยาวอุลตร้าไวโอเลท ซึ่งมีความถี่ 366 นาโนเมตร พร้อมทั้งใช้อุปกรณ์ช่วยในการตรวจสอบอีก 2 ตัวคือ มาสเตอร์สโตน์ (Master Stone) และ ไดมอน คัลเลอร์ริมิเตอร์ (Diamond Colorimeter) ซึ่งสามารถช่วยคุณในการเปรียบเทียบสีเพชรได้

2. ความสะอาดบริสุทธิ์(Clarity) หมายถึงการไม่มีตำหนิ ความสะอาดบริสุทธิ์นี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการประเมินคุณภาพเพชร ลักษณะของตำหนิสามารถแบ่งได้เป็นตำหนิภายใน (Inclusions) และภายนอก (Blemishes) และมีหลักในการพิจารณาตำหนิของเพชรดังต่อไปนี้ - ขนาดของตำหนิ (Size) - ลักษณะของตำหนิ(Nature) - จำนวนของตำหนิ(Number) - ความชัดเจนของตำหนิ(relief) - ตำแหน่งของตำหนิ(Location) เพชรที่พบว่าสะอาดปราศจากรอยตำหนินั้น หายากและมีราคาแพงสำหรับเพชรแท้ตามธรรมชาตินั้นต้องไม่บริสุทธิ์100u0E16 ถ้าตรวจดูด้วยกล้องที่มีกำลังขยาย 1,000 เท่า จะมองเห็นเส้นเล็กๆ หรือจุดเล็กๆ ซึ่งแสดงถึงความไม่บริสุทธิ์ของธรรมชาตินั้นเอง

3. น้ำหนักกะรัต (Carat Weight) น้ำหนักมาตรฐานที่ใช้ในการชั่งเพชรคิดเป็นกะรัต 1 กะรัตจะแบ่งออกเป็น 100 สตางค์(หนักเท่ากับ 0.2 กรัม) ดังนั้นเพชร 0.75 กะรัตจะหนัก 75 สตางค์ แต่คุณต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเพชร 2 เม็ดที่มี น้ำหนักกะรัตเท่ากันอาจจะแตกต่างกันมากในเรื่องของราคาทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับคุณภาพของการเจียระไน สี และความใสของเพชร

4. การเจียระไน (Cutting) การเจียระไนมีความสำคัญต่อเพชรมาก เพราะทำให้เพชรได้สัดส่วนที่ดีและเพื่อให้เพชรทอประกายแสงที่สวยงาม เป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็น เพชรที่ผ่านการเจียระไนที่ดีจะมีคุณสมบัติคือ มีการผ่านแสงมีความสว่างของประกายแสง มีความวาวและมีการกระจายแสงที่ดี ซึ่งโดยทั่วไปเพชรจะนิยมเจียระไน เป็นรูป ทรมกลมเนื่องมาจากรูปทรงของผลึกที่อำนวยให้ตัดเป็นทรงกลมและสามารถรักษาน้ำหนักหลังการเจียระไนไว้ได้มากที่สุด นอกจากนี้แล้วยังมีรูปทรงอื่นๆ อีกเช่น รูปไข่ รูปหัวใจ รูปหยดน้ำ ฯลฯ เป็นต้น

เป็นบทความที่คัดลอกมาค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

รู้ได้อย่างไรว่าใส่แหวนไซส์ไหน ?

จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

แนะนำวิธีการวัด Size อย่างง่ายง่าย ว่าควรจะสั่งซื้อแหวน Size ไหนทางอินเตอร์เน็ตจึงจะพอดี

วิธีที่หนึ่ง***
1.วัดเส้นผ่านศูนย์กลางของแหวน โดยวัดจากขอบ ด้านใน(ของแหวนที่ใส่หรือมีอยู่แล้ว) หน่วยเป็นมิลลิเมตร (มม.)
2.ได้ค่าเท่าไหร่นำมาเทียบตามรายละเอียดดังนี้คะ

เส้นผ่านศูนย์กลางที่วัด
15.3 มม. size 48
15.6 มม. size 49 (เบอร์ 5)
16 มม. size 50
16.2 มม. size 51
16.5 มม. size 52 (เบอร์ 6)
17 มม. size 53
17.2 มม. size 54 (เบอร์ 7)
17.5 มม. size 55
17.8 มม. size 56
18 มม. size 57 (เบอร์ 8)
18.4 มม. size 58
18.8 มม. size 59
19 มม. size 60 (เบอร์ 9)
19.2 มม. size 61
19.8 มม. size 62 (เบอร์ 10)
20 มม. size 63
20.4 มม. size 64
20.8 มม. size 65 (เบอร์ 11)

วิธีที่สอง*** (ควรใช้วิธีที่ 1 ร่วมด้วย)
1. ใช้เชือกหรือลวดมัดขนมปังหรือตัดกระดาษมาพันรอบนิ้วให้พอดี (ถ้าข้อนิ้วใหญ่ ควรวัดที่ข้อนิ้วเป็นหลัก)
2. ทำเครื่องหมายตรงตำแหน่งที่พอดี
3. นำเชือกหรือกระดาษที่ได้มาทาบกับไม้บรรทัด ได้ผลเป็น มม.
4. ความยาววัดได้เท่าไหร่(มม.) นำมาลบด้วย 2 นั่นคือขนาดแหวนของคุณ เช่น
วัดความยาวได้ 54 มม. (เมื่อนำ 54 มาลบด้วย 2 จะได้ 52) ดังนั้น ขนาดของแหวน= ประมาณ Size 52
วัดความยาวได้ 58 มม. (เมื่อนำ 58 มาลบด้วย 2 จะได้ 56) ดังนั้น ขนาดของแหวน= ประมาณ Size 56
*** ถ้ามีการสงสัยระหว่าง 2 Sizes ควรเลือก Size ใหญ่จะดีกว่า เพราะแต่ละ Size ใกล้เคียงกันมาก
*** ถ้าใช้แบบแรกแล้วไม่แน่ใจ ควรใช้วิธีที่สองด้วยนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

เจอภัย (ออนไลน์) ใครช่วยที !!!

จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com/

ถ้าไม่อยากร้องแบบนี้ เมื่อประสบภัยออนไลน์ด้วยตัวเอง มาทำความรู้จักกับหน่วยงานราชการที่สามารถช่วยได้ เพียงแต่คนส่วนใหญ่ยังไม่มีข้อมูลเท่านั้น

หน่วยงานรับร้องเรียน :

1. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ดูแลเกี่ยวกับ การโฆษณา การปิดฉลากสินค้าที่อันตราย การเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค ติดต่อได้ที่

- 120 ม.3 ชั้น 5 อาคารรวมหน่วยราชการ บี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม

ถ. แจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210

โทรศัพท์สายด่วน 1166 E-mail : consumer@ocpb.go.th เว็บ http://www.ocpb.go.th/

2. ศูนย์จัดการข้อร้องเรียนด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กรมพัฒนาธุรกิจกาค้า กระทรวงพาณิชย์ มีหน้าที่แก้ไขปัญหาจากการไม่ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อ/ขายสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ติดต่อได้ที่

- 44/100 ถนนนนทบุรี 1 ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี โทรศัพท์ 02-5475959-61

E-mail : ec-complaint@dbd.go.th เว็บ www.dbd.go.th/complain

3. สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ควบคุมกำกับ กำหนดมาตรฐาน และเฝ้าระวัง ความปลอดภัยผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น อาหาร ยา เครื่องสำอางค์ วัตถุอันตราย ยาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เครื่องมือแพทย์ โดยมีบริการให้แก่ผู้บริโภคที่ต้องการซื้อสินค้าออนไลน์ ที่ต้องการทราบว่าผลิตภัณท์นั้นผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือไม่ ติดต่อที่

- ถนนติวานนท์ ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000 โทร 02-590-7000 สายด่วน 1556

E-mail : complain@fda.moph.go.th เว็บ http://www.fda.moph.go.th/

หากต้องการดำเนินคดีอาญา ควรติดต่อ

1. ศูนย์ตรวจสอบและวิเคราะห์การกระทำผิดทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบเกี่ยวกับการพิสูจน์ทราบ ตรวจจับสืบสวน และแก้ไขปัญหาทางคดีเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ติดต่อที่

- อาคาร 33 ชั้น 4 ถนนพระราม 1 เขตปทุมวัน กทม 10330 โทร 02-2052627

E-mail : htcc@police.go.th

2. สำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่ ปฏิบัติงานด้านการป้องกัน ปราบปรามและสืบสวนผู้กระทำผิดทางเทคโนโลยีและสารสนเทศ และสอบสวน และควบคุมอาชญากรรมที่มีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ต้องอาศัยความรู้ความชำนาญเฉพาะทาง ติดต่อที่

- 128 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210

โทร 02-8319888 เว็บ http://www.dsi.go.th/

3. กระทรวงเทคโนโลยี่สารสนเทศและการสื่อสาร ดำเนินการรับแจ้งเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม เช่น เว็บหลอกลวงให้ผู้ใช้บริการต้องสูญเสียเงิน เว็บโฆษณาชวนเชื่อ เว็บลามกอนาจาร เว็บที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง

- สำนักกำกับการใช้เทคโนโลยสารสนเทศ

สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

120 ม.3 ชั้น 6 อาคารรวมหน่วยราชการ บี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม

ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 เว็บ http://www.mict.go.th/

ทุกท่านคงสบายใจได้แล้วว่าถ้าประสบภัยที่เกิดจากการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ จะสามารถไปร้องเรียนที่ใด หรือจะดำเนินคดีเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรม ณ ที่ใด

วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

ช้อปสนุก !!! ถ้ารู้ มุก โจรออนไลน์

จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com
ภัยที่เกิดจากการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์เกิดขึ้นได้หลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทางโทรศัทพ์ อินเทอร์เน็ต บัตรเครดิต การรับจ่ายเงิน ออนไลน์ ฯลฯ ขอรวบรวมภัยี่เกิดจาการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ใกล้ตัว และแนวทางการป้องกันตนเอง
1. ภัยที่เกิดจากการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์คืออะไร

คำว่า "ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์" หมายถึงการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูล สินค้า บริการ และการชำระค่าสินค้า ตัวอย่างง่ายๆ ของการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การรับส่งอีเมล์ระหว่างกัน การใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าทั้งที่ห้างสรรพสินค้าหรือบนอินเทอร์เน็ต การโอนเงินหรือถอนเงินผ่านเครื่อง ATM การเล่นเว็บบนสังคมออนไลน์ (Social Network) เช่น Facebook, MSN, Messenger เป็นต้น ดังนั้น ภัยที่เกิดจากการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวทุกคนแล้วในปัจจุบัน

2. รูปแบบของภัยที่เกิดในประเทศไทยและการรับมืออย่างง่าย
ภัยที่เกิดจากการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่มักจะพบในประเทศไทย และมีเหยื่อจำนวนมากถูกหลอกลวงมีจำนวน 7 ประเภทด้วยกัน คือ
  1. การถูกขโมยข้อมูลบัตรเครติต

  2. การถูกขโมยข้อมูลที่ใช้ในการระบุตัวตน และ Phishing

  3. ถูกหลอกลวงให้หลงเชื่อ และโอนเงินให้

  4. ผู้ขายไม่มีตัวตนจริง และไม่ส่งสินค้า

  5. ถูกโกงด้วยบัตรเครดิตปลอม หรือบัตรเครดิตที่ถูกขโมยข้อมูลมา

  6. ถูกหลอกให้รัก และโอนเงินให้

  7. การสมัครสมาชิกเครือข่ายธุรกิจเพื่อทำงานจากบ้าน (Work at home)
2.1 การถูกขโมยข้อมูลบัตรเครดิต พบว่าในปัจจุบันมีวิธีการที่มิจฉาชีพใช้ในการขโมยข้อมูลบัตรเครดิตอยู่ 3 รูปแบบ :
รูปแบบที่ 1: การใช้เครื่อง skimmer คัดลอกข้อมูลส่วนตัวที่บันทึกในแถบแม่เหล็กบนบัตรเครดิต จากนั้นนำไปทำบัตรปลอมแล้วนำไปซื้อสินค้า
รูปแบบที่ 2 : การขโมยบัตรเครดิต หรือการนำบัตรเครดิตที่สูญหายไปใช้โดยเจ้าของบัตรไม่รู้ตัว
รูปแบบที่ 3 : การปลอมเอกสารสำคัญเพื่อสมัครบัตรเครดิตเช่น สำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน สลิปเงินเดือน แล้วนำบัตรไปใช้

วิธีการแก้ไขและป้องกัน การถูกฉ้อโกงโดยการปลอมบัตรเครดิต

  • ควรเก็บรักษาบัตรเครดิต บัตรประชาชน ใบขับขี่ และเอกสารสำคัญอื่นๆ ไว้ในที่ปลอดภัยไม่มอบให้กับผู้ไม่น่าไว้ใจง่ายๆ

  • ควรจดหมายเลขและเลขที่บัญชีบัตรเครดิต และหมายเลขโทรศัทพ์ของแผนกบริการไว้ในที่ปลอดภัย ไม่ควรเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์

  • เพื่อป้องกันกลโกงแบบ Skimming เวลาชำระค่าสินค้าด้วยการรูดบัตร ควรอยู่ ณ จุดที่ทำรายการหรือที่มองเห็นได้ หรือใช้บัตรเครดิตที่มีการฝังชิพ

  • หลีกเลี่ยงการใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าในร้านค้าหรือ ประเทศที่มีความเสี่ยง(แถบอัฟริกา ยูเครน รัสเซีย)

  • ตรวจสอบรายการในสลิปบัตร และเก็บสำเนาไว้ตรวจกับใบแจ้งยอด

  • ระวังการใช้บัตรเครดิตผ่านตู้ ATM กดรหัสต้องไม่ให้ผู้อื่นเห็น

  • ไม่ควรทิ้งเอกสารสำคัญส่วนตัว เช่น บัตรประชาชน สลิปเงินเดือน ไว้ตามที่ต่าง ๆ ถ้าจะทิ้งต้องย่อยทิ้งเป็นชิ้นเล็กๆ

2.2 การขโมยข้อมูลที่ใช้ในการระบุตัวตน และ Phishing มี 2 รูปแบบคือ

  • การคุกคามในรูปแบบของการโทรศัทพ์ เพื่อหลอกลวงข้อมูลส่วนบุคคล การพยายามเจาะข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าธนาคาร โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของธนาคารพาณิชย์

  • การคุกคามในรูปแบบของการปลอมอีเมล (Email Spoofing) และทำการสร้าง เว็บไซต์ปลอม เพื่อทำการหลอกลวงให้เหยื่อหรือผู้รับอีเมลเปิดเผยข้อมูลทางด้านการเงิน หรือข้อมูลส่วนบุคคล

วิธีการป้องกัน

  • ในกรณีที่ได้รับโทรศัพท์จากธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทบัตรเครดิต ผู้บริโภคจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลในบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัตร ATM ของท่านให้แก่คนที่ท่านไม่รู้จักโดยขอให้ตรวจสอบไปยังธนาคารพาณิชย์หรือผู้ประกอบธุรกิจบตรเครดิตโดยตรง เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง


  • ในกรณีที่ได้รับอีเมลแอบอ้างจากสถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์ บริษัทบัตรเครดิต หรือแหล่งอื่นที่น่าเชือถือ ให้เชื่อได้ว่าไม่มีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นจากสถาบันการเงิน หรือหน่วยงานต่างๆ จริง และควรตรวจสอบลิงค์ได้คลิกเข้าไปว่าเป็นลิงค์ของหน่วยงานนั้นจริงหรือไม่ และโดยทั่วไปธนาคารและสถาบันการเงินจะไม่มีนโยบายสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าผ่านอีเมล


  • ผู้ใช้งานควรจะตรวจสอบความปลอดภัยในการเข้าใช้ระบบโดยสังเกตุที่การเข้ารหัสข้อมูลว่าเว็บไซต์ดังกล่าวมีการเข้ารหัสข้อมูลหรือไม่ โดยสังเกตุที่อยู่ของเว็บไซต์จะต้องเริ่มต้นว่า https:// ไม่ใช่เพียง http: และมีแม่รูปกุญแจอยู่ที่ใต้ Browser

2.3 ถูกหลอกลวงให้หลงเชื่อ และโอนเงินให้ มิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร หรือธนาคารแห่งประเทศไทยว่าได้รับเงินคืนโดยไปทำรายการที่ตู้ ATM


วิธีการป้องกัน

  • ประชาชนทั่วไปควรรับทราบว่าธนาคารแห่งประเทศไทย หรือกรมสรรพากร ไม่มีนโยบายในการขอข้อมูลส่วนบุคคล หรือติดต่อขอให้ทำรายการที่เครื่อง ATM ดังนั้นเมื่อได้รับการติดต่อดังกล่าว ควรจะแจ้งความเพื่อดำเนินคดี

  • เมื่อพบหน้าจอ ATM ที่เป็นภาษาที่ตนเองไม่รู้จัก หรือไม่สามารถอ่านได้ ให้ทำรายการยกเลิกทันที

  • ประชาชนทั่วไปควรทราบว่าเทคโนโลยีของตู้ ATM นั้นไม่สามารถทำรายการรับเงินคืนได้ดังนั้นหากมีการแจ้งว่าให้ทำรายการรับเงินผ่านตู้ ATM นั้น เป็นการหลอกลวงให้โอนเงินอย่างแน่นอน

2.4 ผู้ขายไม่มีตัวตนจริง และไม่ส่งสินค้า มี 2 กรณี

  • มิจฉาชีพปลอมตัวเป็นผู้ขายที่ไม่มีตัวตนจริง และไม่ส่งสินค้า

  • ผู้ขายไม่มีตัวตนจริง โดยหลอกทั้งผู้ซื้อและผู้ขายตัวจริง

วิธีการป้องกัน

  • ผู้บริโภคควรตรวจสอบเว็บไซต์ว่าเชื่อถือได้ มีร้านเป็นหลักแหล่ง สามารถติดต่อได้ท้งทางโทรศัพท์บ้านและไปรษณีย์

  • ผู้บริโภคไม่ควรเห็นแก่สินค้าราคาถูกผิดปกติ และพยายามเร่งรัดให้ซื้อสินค้าเนื่องจากในทางธุรกิจไม่สามารถเป็นไปได้ เมื่อเห็นสินค้าราคาถูกมากผิดปกติให้ตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการหลอกลวง

  • ผู้บริโภคควรจะสังเกตุเครื่องหมายรับรองความน่าเชื่อถือที่ผู้ประกอบการได้รับ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจก่อนซื้อสินค้าและบริการ

  • ผู้บริโภคจะต้องตรวจสอบชื่อบัญชีธนาคารของผู้ขายก่อนจะโอนเงินทุกครั้งว่าตรงกับผู้ที่ติดต่อด้วยหรือไม่ หากเป็นชื่อบุคคลธรรมดาให้พึงระวังเป็นพิเศษมากกว่าชื่อบัญชีธนาคารที่เป็นนิติบุคคล

2.5 ถูกโกงด้วยบัตรเคดิตปลอม

ผู้ประกอบการ e-Commerce มักจะถูกแอบโกงจากผู้ซื้อทางออนไลน์ที่ใช้บัตรเครดิตปลอม ใช้หมายเลขบัตรเครดิตปลอม ใช้หมายเลขบัตรเครดิตที่ขโมยมาจากผู้อื่น หรือบัตรที่หมดอายุแล้ว

วิธีการป้องกัน

  • ผู้ประกอบการจะต้องตรวจสอบความน่าเชื่อถือของหมายเลขบัตรเครดิต ที่ใช้บนอินเตอร์เน็ตกับธนาคารเจ้าของบัตร (Verificaion Service)

  • ควรจะเลือกใช้บริการของธนาคารที่มีระบบการตรวจสอบข้อมูลของบัตรเครดิตที่มากกว่าการเข้ารหัสเพียงอย่างเดียว โดยจะต้องเลือกธนาคาร ระบบการรับชำระเงินที่มีการตรวจสอบข้อมูลบัตรเครดิตได้ เช่น ที่อยู่ หรือหมายเลขโทรศัพท์ ของเจ้าของบัตร และมีระบบ Secured Code (Verified by VISA หรือ Mastercard SecureCode)

  • ผู้ประกอบการควรตรวจสอบรายการที่มีมูลค่าสูง หรือซื้อสินค้าจำนวนมากผิดปกติ ด้วยการโทรศัพท์กลับไปตรวจสอบกับธนาคารเพื่อให้ธนาคารตรวจสอบกับเจ้าของบัตรต่อไป

  • ผู้ประกอบการไม่ควรรับบัตรเครดิตจากธนาคารผู้ออกบัตรจากประเทศที่มีความเสี่ยง (สามารถตรวจสอบรายชื่อจากธนาคาร) หรือขายสินค้าให้กับผู้ซื้อที่ใช้บัตรเครดิตในการจ่ายเงิน กับที่อยู่ที่ส่งของมาจากคนละประเทศ

2.6 ถูกหลอกให้รัก และให้โอนเงินให้

มีผู้เสียหายร้องเรียนเกี่ยวกับคดีที่ถูกหลอกลวงผ่านทาง Chat room โดยเหยื่อส่วนใหญ่จะเป็นสุภาพสตรี และได้รู้จักกับคู่สนทนาที่อ้างว่าเป็นชายชาวต่างชาติ โดยเหยื่อจะถูกหลอกให้หลง เชื่อว่าคู่สนทนานั้นมีตัวตนตริงและทำให้เหยื่อหลงรัก จากนั้นไม่นานคู่สนทนาจะแจ้งว่าได้ส่งของขวัญมูลค่าสูงมาให้เหยื่อทางไปรษณีย์ จากนั้นไม่นานจะมีโทรศัพท์มาหาเหยื่อ โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัทขนส่ง และแจ้งว่าพัสดุที่ส่งมานั้นมีภาษี และค่าขนส่งที่เกินกว่าที่ผู้ส่งได้ชำระไว้ และขอให้ผู้รับชำระค่าภาษีและค่าขนส่ง

วิธีการป้องกัน

  • ผู้ใช้บริการแช๊ต (Chat) ผ่านอินเทอร์เน็ตควรจะตระหนักถึงภัยในประเด็นนี้ที่มีมากขึ้นตามข่าวที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์หรือสื่อออนไลน์ และไม่ควรจะหลงเชื่อบุคคลอื่นที่ตนเองไม่รู้จัก ผ่านทางอินเทอร์เน็ตโดยเด็ดขาด

  • หากฝ่ายที่สนทนาด้วยแจ้งว่าได้ทำการส่งของ และมีบริษัทผู้ส่งของติดต่อมา จะต้องทำการตรวจสอบโดยตรงไปยังบริษัทส่งของที่แจ้งมาว่ามีชื่อเสียงเพียงใด หากไม่มีชื่อเสียงหรือเป็นที่รู้จัก ห้ามหลงเชื่อโดยเด็ดขาด

  • ควรจะขอหมายเลขส่งของหรือหมายเลขที่ต้องเสียภาษีจากผู้โทรศัพท์แจ้ง และนำหมายเลขนั้นไปตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร เพื่อตรวจสอบว่าได้มีการเรียกเก็บภาษี หรือมีสินค้านั้นส่งมาจริงหรือไม่

2.7 การสมัครสมาชิกเครือข่ายธุรกิจ เพื่อทำงานจกาบ้าน (Work at home)

วิธีการปัองกัน

  • ผู้บริโภคควรจะศึกษาและสอบถามรายละเอียดของบริษัท รวมทั้งรูปแบบการทำธุรกิจโดยละเอียดจนแน่ใจว่าผู้โฆษณามีตัวตนอยู่จริง และมีโมเดลธุรกิจที่ชัดเจน หากทางผู้โฆษณาบ่ายเบี่ยงที่จะให้ข้อมูลจนกว่าจะชำระเงินค่าสมาชิกก่อน ให้เชื่อได้ว่าเป็นการหลอกลวงจากมิจฉาชีพ เนื่องจากผิดวิสัยของบริษัทที่ต้องการขยายธุรกิจที่จะต้องอธิบายโมเดลทางธุรกิจให้กับผู้บริโภคอย่างชัดเจน

  • ผู้บริโภคต้องระลึกเสมอว่าในความเป็นจริงไม่มีธุรกิจใดที่ได้เงินมาอย่างง่ายๆ ด้วยการทำงานที่บ้านเพียงแค่วันละ 2-3 ชั่วโมง

วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทำไมต้องเลือก OneclickDiamond.com

จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com

1. เป็นเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้เพราะได้จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กับกระทรวงพาณิชย์เลขที่ 3101200892406 สามารถตรวจสอบได้และ ดูสินค้าจริงได้ที่ร้าน ที่ห้างเซ็นทรัลรามอินทรา ชั้น 1

2. เราทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ สินค้าทุกชิ้นเป็นทองคำแท้ และเพชรแท้ 100% มีใบรับประกัน

3. เพชรเบลเยี่ยมคัท ขาวพิเศษ ระดับขาวสวยใสไร้สี Color 95 ขึ้นไป ส่วนใหญ่อยู่ที่ 97 ความสะอาดระดับ VS 1 (Very Slightly Included) ขึ้นไป

4. ปรับขนาดให้ ฟรี บริการส่งสิน ฟรี ไม่มีสูญหาย สินค้ามีประกันทุกชิ้น

5. บริการห่อของขวัญให้ ฟรี เพียงแจ้งให้ทราบว่าท่านซื้อเพื่อให้เป็นของขวัญ

6. ดูแลลูกค้าตลอดอายุการใช้งาน

OneclickDiamond " The trust you can expect "

จากเว็บ http://www.oneclickdiamond.com

Blog นี้ตั้งใจจะให้เป็นที่รวบรวม ความรู้ บทความและสาระน่ารู้ต่างๆ มากมาย โดยมุ่งเน้นเรื่อง เครื่องประดับเพชรแท้ ไม่ว่าจะเป็น แหวนเพชร แหวนแต่งงาน แหวนหมั้น แหวนทองคำขาว แหวนคู่ ต่างหูเพชร จี้เพชร กำไลเพชร สร้อยข้อมือเพชร และอัญมณี เพื่อเป็นช่องทางสื่อสารอีกทางของ OneclickDiamond และลูกค้าหรือผู้ที่สนใจในเครื่องประดับเพชรค่ะ